ชิงเค้กคอนโดเลี้ยงสัตว์ อสังหาฯดูดกำลังซื้อดันยอดขาย มูลค่าตลาดพุ่ง7.5หมื่นล้าน
วันที่ : 16 เมษายน 2568
ttb analytics ระบุว่าตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยในปี 2567 จะมีมูลค่าราว 7.5 หมื่นล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 12.4% จากปี 2566 โดยเจ้าของจะมีภาระค่าใช้จ่ายสำหรับสัตว์เลี้ยงเฉลี่ย 41,100 บาทต่อตัวต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเลี้ยงดูแบบปล่อยอิสระที่จะมีค่าใช้จ่ายราว 7,745 บาทต่อตัวต่อปี
ช่วงที่เกิดเหตุแผ่นดินไหว เราจะเห็นผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม ต่างหอบหิ้วเลี้ยงสัตว์ลงมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจจะมีบางโครงการที่อนุญาตให้เลี้ยงได้ แต่ก็เชื่อได้เลยว่า ก็มีบางแห่ง ที่ผู้อยู่อาศัยแอบเลี้ยงน้องๆ ไว้ แต่นั่นกำลังชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยในโครงการคอนโดฯ ที่ต้องการมีสัตว์เลี้ยงไว้ (Pet Lover) !!
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด (LWS) บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากผลการสำรวจแบบสุ่มโดยมีจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 183 คน เป็นเพศหญิงคิดเป็นสัดส่วน 58% ในขณะที่ 35% เป็นเพศชาย และ 7% เป็นกลุ่ม LGBTQ+ ที่มีอายุระหว่าง 29-44 ปี คิดเป็นสัดส่วน 58% มีรายได้เฉลี่ยประมาณ 25,000-75,000 บาทต่อเดือน และ 18% มีรายได้เกินกว่า 75,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ พบว่า 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามสนใจซื้ออาคารชุดที่เลี้ยง สัตว์เลี้ยงได้ ที่ระดับราคา 3-5 ล้านบาทต่อหน่วย โดยผู้ตอบแบบสอบถามในกลุ่มนี้ที่สนใจซื้อห้องชุดที่เลี้ยงสัตว์ได้ เป็นกลุ่มคนโสดคิดเป็นสัดส่วน 67% ของกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด
ในขณะที่ทำเลที่ได้รับความสนใจ 3 อันดับแรกได้แก่
1. โซนรัชโยธิน-จตุจักร-บางซื่อ งบประมาณ 2-4 ล้านบาทต่อห้อง
2. โซนรัชดา-พระราม 9-เพชรบุรีตัดใหม่ งบประมาณ 1-3 ล้านบาทต่อห้อง
3. โซนพระโขนง-อ่อนนุช-บางจาก งบประมาณ 1-3 ล้านบาทต่อห้อง
เนื่องจากทำเลดังกล่าวอยู่ใกล้กับแหล่งงาน และ เดินทางสะดวก ประกอบกับพื้นที่โดยรอบทำเลดังกล่าว มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์ทั้ง โรงพยาบาลสัตว์, ร้านรับอาบน้ำ -ตัดขนสัตว์เลี้ยง, โรงแรมสำหรับฝากสัตว์เลี้ยง, และดูแลทำความสะอาดห้องชุด ซึ่งผลสำรวจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้ซื้ออาคารชุดที่เปลี่ยนแปลงไป ตามผลการสำรวจของ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2566 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,146 คน ที่พบว่า 49% ของคน "Gen Y" ที่มีอายุระหว่าง 24-41 ปี นิยม "เลี้ยงสัตว์เลี้ยง" เสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว ภายใต้แนวคิด "Pawrents" หรือ พ่อ-แม่สัตว์เลี้ยง และกลุ่มคนดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดที่เลี้ยงสัตว์ได้จึงมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้น ตามพฤติกรรมของผู้ซื้อที่เปลี่ยนแปลงไป
"จากพฤติกรรมของผู้ซื้อดังกล่าว จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะประเภทอาคารชุดพักอาศัย ในการพัฒนาอาคารชุดที่สามารถเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อได้ โดยเฉพาะผู้ซื้อในกลุ่มนี้เป็น กลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง"
และจากผลสำรวจพบว่า อาคารชุดที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ สามารถปล่อยเช่าได้ในระดับราคาที่สูงกว่าห้องชุดปกติ ประมาณ 10-15% ในทำเล และในห้องที่มีขนาดเท่ากัน เพื่อรองรับกับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการดูแลอาคารชุดที่เลี้ยงสัตว์ได้ จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ซื้ออาคารชุดเพื่อการลงทุนด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง
"ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ลดลงตามภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันผู้ประกอบการจำเป็นต้องพัฒนาโครงการที่แตกต่างจากคู่แข่ง และมีความ Wow เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของตลาด จากผลสำรวจของเราพบว่า คนที่ซื้อคอนโดมิเนียมที่เลี้ยงสัตว์ได้เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง และมีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง รวมถึงสามารถตอบสนองกับตลาดเพื่อการลงทุนไปด้วยในตัว" นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว
คอนโดเลี้ยงสัตว์บูม รองรับกว่า 2.3 หมื่นยูนิต
จากการสำรวจของ "ผู้จัดการรายวัน" พบว่า ปัจจุบันมีอาคารชุด ที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 23,031 หน่วย เพิ่มขึ้น 4,600.20% จาก 490 หน่วย เมื่อเทียบกับปี 2554 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 353.86% ต่อปี สะท้อนให้เห็นความต้องการที่อยู่อาศัยในกลุ่มนี้ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้องหันมาพัฒนาโครงการอาคารชุดที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อในกลุ่มที่มีสัตว์เลี้ยงเปรียบเสมือนสมาชิกในครอบครัวที่เรียกว่า Pet Parents หรือ Pet Humanization ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชากรที่เป็นโสด หรือแต่งงานแล้วไม่อยากมีลูก และเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัวมากกว่าที่จะเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน เหมือนในอดีต
โดยทำเลที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาโครงการอาคารชุดที่สามารถเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้ โดยคำนึงถึง 4 ปัจจัยหลักประกอบด้วย
1.ทำเลใกล้ระบบขนส่งมวลชน เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงสำหรับการเดินทางไปทำงานข้างนอก โดยควรเลือกโครงการอาคารชุดที่ตั้งอยู่ในทำเลที่มีระบบขนส่งมวลชนเชื่อมต่อไปยังจุดอื่น ในระยะ 3-5 กม. เช่น รถไฟฟ้า BTS, MRT โดยควรอยู่ในระยะเดินได้ (ภายใน 1 กม.)
2.ทำเลใกล้กับสาธารนูปโภคสำคัญสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น โรงพยาบาลสัตว์ หรือ คลินิกสัตว์เลี้ยง ในรัศมีพื้นที่ 3-5 กม. จากผลการสำรวจของ LWS พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามมีความต้องการโครงการอาคารชุดที่อยู่กับโรงพยาบาลหรือคลินิกสัตว์เลี้ยง หากเกิดเหตุฉุกเฉินก็สามารถรับการรักษาได้ทันท่วงที
3. ทำเลโครงการตั้งใกล้กับพื้นที่ค้าปลีก เช่น ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้ มอลล์ ที่อนุญาตให้สัตว์เลี้ยงเข้าได้ เพื่อตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่ม Pet Parents ที่นิยมออกไปทำกิจกรรมหรือพบปะสังสรรค์ตามสถานที่ที่เป็นศูนย์รวมของคอมมูนิตี้สัตว์เลี้ยง เพื่อเป็นการผ่อนคลายความเครียด และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นอกจากนี้ศูนย์การค้าที่รองรับสัตว์เลี้ยงจะถูกออกแบบให้มีร้านขายอาหารสัตว์หรืออุปกรณ์สัตว์เลี้ยงมาด้วย นอกจากพาสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่นพักผ่อนแล้วยังสามารถแวะซื้อของใช้จำเป็นสำหรับสัตว์เลี้ยงได้อีกด้วย
4. ทำเลโครงการตั้งใกล้สวนสาธารณะ ควรอยู่ในระยะทางการเดินไม่เกิน 15 นาที
ในขณะที่ "ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี" (ttb analytics) ระบุว่าตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยในปี 2567 จะมีมูลค่าราว 7.5 หมื่นล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 12.4% จากปี 2566 โดยเจ้าของจะมีภาระค่าใช้จ่ายสำหรับสัตว์เลี้ยงเฉลี่ย 41,100 บาทต่อตัวต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเลี้ยงดูแบบปล่อยอิสระที่จะมีค่าใช้จ่ายราว 7,745 บาทต่อตัวต่อปี
โดยในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและบริการรักษาสัตว์ ได้รับอานิสงส์จากเมกะเทรนด์ดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดอาหารสัตว์ขยายตัวมีมูลค่าแตะ 4.46 หมื่นล้านบาท และมูลค่าการรักษาสัตว์มีมูลค่า 6.64 พันล้านบาท ในปี 2567 อีกกลุ่มคืออุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงและบริการดูแลสัตว์เลี้ยงที่ได้รับอานิสงส์ โดยคาดว่ามีมูลค่า 2.29 หมื่นล้านบาท และ 0.66 พันล้านบาท ตามลำดับ
นอกจากนี้ ผลการวิจัยพบว่า เฉพาะคนใน Gen X Gen Y และ Gen Z โดย Gen X มีสัดส่วนผู้เลี้ยงปลาและนกสูงสุดจากสัตว์เลี้ยงทุกชนิด เพราะไม่สร้างภาระให้ผู้เลี้ยงมากนัก เป็นสัตว์เลี้ยงที่เสริมให้บ้านมีชีวิตชีวา และยังช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลตามความเชื่อได้สำหรับคนรุ่น Gen Y มีสัดส่วนผู้เลี้ยงแมวสูงสุดจากสัตว์ทุกชนิด เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบและนิยมอาศัยอยู่คอนโดฯ การเลี้ยงแมวจึงเป็นทางเลือกที่ลงตัวสำหรับคนรักสัตว์ในวัยสร้างตัว ขณะที่คนรุ่น Gen Z เลี้ยงสุนัขมากที่สุด และมีการใช้จ่ายเติบโตสูงสุดจากทุกช่วงวัยถึง 46%
โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้จัดอันดับให้ธุรกิจสัตว์เลี้ยงอยู่ในอันดับ 8 จาก 10 ธุรกิจดาวรุ่งประจำปี 2567 กระแสการเลี้ยงสัตว์ในฐานะสมาชิกของครอบครัวได้รับความนิยมมากขึ้น เกิดเมกะเทรนด์ที่มาแรงคือ Pet Humanization ทำให้มีความยินดีที่จะใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยงมากขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อการเลี้ยงสัตว์มากที่สุด จากการสำรวจของ "ผู้จัดการรายวัน" พบว่า
บมจ.ออริจิ้น ที่เดินหน้าบุกตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่ม Pet Lover อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2564 โดยปัจจุบันพัฒนาคอนโดฯตอบโจทย์เหล่า Pet Lover สะสม 17 โครงการ มูลค่ารวมเกือบ 30,000 ล้านบาท ครอบคลุมหลายแบรนด์ เช่น บรอมพ์ตัน, บริกซ์ตัน, ดิ ออริจิ้น, ออริจิ้น เพลย์, ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ และออริจิ้น เพลส
บมจ.แอสเซทไวส์ เปิดโครงการใหม่ "เคฟ วันเดอร์แลนด์" มูลค่าโครงการ 2,550 ล้านบาท เป็นคอนโดฯแห่งแรกในย่านรังสิต ที่สามารถเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้ เพื่อตอบโจทย์ทุกมิติการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่
ด้าน บมจ.เมเจอร์ ได้เปิดตัว "MAJOR Pet Family Residences : Exotic Pet" แบรนด์แรกและครั้งแรกของไทย ที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ Exotic ได้อย่างเป็นทางการ นำร่องโครงการแรก "เมทริส ดิสทริค ลาดพร้าว" คอนโดฯ ไฮไรส์ 45 ชั้น จำนวน 741 ยูนิต ราคา 3-20 ล้านบาท และเตรียมขยายสู่ทุกโครงการในอนาคต
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด (LWS) บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากผลการสำรวจแบบสุ่มโดยมีจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งสิ้น 183 คน เป็นเพศหญิงคิดเป็นสัดส่วน 58% ในขณะที่ 35% เป็นเพศชาย และ 7% เป็นกลุ่ม LGBTQ+ ที่มีอายุระหว่าง 29-44 ปี คิดเป็นสัดส่วน 58% มีรายได้เฉลี่ยประมาณ 25,000-75,000 บาทต่อเดือน และ 18% มีรายได้เกินกว่า 75,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ พบว่า 75% ของผู้ตอบแบบสอบถามสนใจซื้ออาคารชุดที่เลี้ยง สัตว์เลี้ยงได้ ที่ระดับราคา 3-5 ล้านบาทต่อหน่วย โดยผู้ตอบแบบสอบถามในกลุ่มนี้ที่สนใจซื้อห้องชุดที่เลี้ยงสัตว์ได้ เป็นกลุ่มคนโสดคิดเป็นสัดส่วน 67% ของกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด
ในขณะที่ทำเลที่ได้รับความสนใจ 3 อันดับแรกได้แก่
1. โซนรัชโยธิน-จตุจักร-บางซื่อ งบประมาณ 2-4 ล้านบาทต่อห้อง
2. โซนรัชดา-พระราม 9-เพชรบุรีตัดใหม่ งบประมาณ 1-3 ล้านบาทต่อห้อง
3. โซนพระโขนง-อ่อนนุช-บางจาก งบประมาณ 1-3 ล้านบาทต่อห้อง
เนื่องจากทำเลดังกล่าวอยู่ใกล้กับแหล่งงาน และ เดินทางสะดวก ประกอบกับพื้นที่โดยรอบทำเลดังกล่าว มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์ทั้ง โรงพยาบาลสัตว์, ร้านรับอาบน้ำ -ตัดขนสัตว์เลี้ยง, โรงแรมสำหรับฝากสัตว์เลี้ยง, และดูแลทำความสะอาดห้องชุด ซึ่งผลสำรวจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้ซื้ออาคารชุดที่เปลี่ยนแปลงไป ตามผลการสำรวจของ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2566 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,146 คน ที่พบว่า 49% ของคน "Gen Y" ที่มีอายุระหว่าง 24-41 ปี นิยม "เลี้ยงสัตว์เลี้ยง" เสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว ภายใต้แนวคิด "Pawrents" หรือ พ่อ-แม่สัตว์เลี้ยง และกลุ่มคนดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดที่เลี้ยงสัตว์ได้จึงมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้น ตามพฤติกรรมของผู้ซื้อที่เปลี่ยนแปลงไป
"จากพฤติกรรมของผู้ซื้อดังกล่าว จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะประเภทอาคารชุดพักอาศัย ในการพัฒนาอาคารชุดที่สามารถเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อได้ โดยเฉพาะผู้ซื้อในกลุ่มนี้เป็น กลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง"
และจากผลสำรวจพบว่า อาคารชุดที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ สามารถปล่อยเช่าได้ในระดับราคาที่สูงกว่าห้องชุดปกติ ประมาณ 10-15% ในทำเล และในห้องที่มีขนาดเท่ากัน เพื่อรองรับกับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการดูแลอาคารชุดที่เลี้ยงสัตว์ได้ จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ซื้ออาคารชุดเพื่อการลงทุนด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง
"ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ลดลงตามภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันผู้ประกอบการจำเป็นต้องพัฒนาโครงการที่แตกต่างจากคู่แข่ง และมีความ Wow เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของตลาด จากผลสำรวจของเราพบว่า คนที่ซื้อคอนโดมิเนียมที่เลี้ยงสัตว์ได้เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง และมีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง รวมถึงสามารถตอบสนองกับตลาดเพื่อการลงทุนไปด้วยในตัว" นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว
คอนโดเลี้ยงสัตว์บูม รองรับกว่า 2.3 หมื่นยูนิต
จากการสำรวจของ "ผู้จัดการรายวัน" พบว่า ปัจจุบันมีอาคารชุด ที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 23,031 หน่วย เพิ่มขึ้น 4,600.20% จาก 490 หน่วย เมื่อเทียบกับปี 2554 หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 353.86% ต่อปี สะท้อนให้เห็นความต้องการที่อยู่อาศัยในกลุ่มนี้ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้องหันมาพัฒนาโครงการอาคารชุดที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อในกลุ่มที่มีสัตว์เลี้ยงเปรียบเสมือนสมาชิกในครอบครัวที่เรียกว่า Pet Parents หรือ Pet Humanization ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชากรที่เป็นโสด หรือแต่งงานแล้วไม่อยากมีลูก และเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัวมากกว่าที่จะเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน เหมือนในอดีต
โดยทำเลที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาโครงการอาคารชุดที่สามารถเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้ โดยคำนึงถึง 4 ปัจจัยหลักประกอบด้วย
1.ทำเลใกล้ระบบขนส่งมวลชน เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงสำหรับการเดินทางไปทำงานข้างนอก โดยควรเลือกโครงการอาคารชุดที่ตั้งอยู่ในทำเลที่มีระบบขนส่งมวลชนเชื่อมต่อไปยังจุดอื่น ในระยะ 3-5 กม. เช่น รถไฟฟ้า BTS, MRT โดยควรอยู่ในระยะเดินได้ (ภายใน 1 กม.)
2.ทำเลใกล้กับสาธารนูปโภคสำคัญสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น โรงพยาบาลสัตว์ หรือ คลินิกสัตว์เลี้ยง ในรัศมีพื้นที่ 3-5 กม. จากผลการสำรวจของ LWS พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามมีความต้องการโครงการอาคารชุดที่อยู่กับโรงพยาบาลหรือคลินิกสัตว์เลี้ยง หากเกิดเหตุฉุกเฉินก็สามารถรับการรักษาได้ทันท่วงที
3. ทำเลโครงการตั้งใกล้กับพื้นที่ค้าปลีก เช่น ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้ มอลล์ ที่อนุญาตให้สัตว์เลี้ยงเข้าได้ เพื่อตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่ม Pet Parents ที่นิยมออกไปทำกิจกรรมหรือพบปะสังสรรค์ตามสถานที่ที่เป็นศูนย์รวมของคอมมูนิตี้สัตว์เลี้ยง เพื่อเป็นการผ่อนคลายความเครียด และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นอกจากนี้ศูนย์การค้าที่รองรับสัตว์เลี้ยงจะถูกออกแบบให้มีร้านขายอาหารสัตว์หรืออุปกรณ์สัตว์เลี้ยงมาด้วย นอกจากพาสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่นพักผ่อนแล้วยังสามารถแวะซื้อของใช้จำเป็นสำหรับสัตว์เลี้ยงได้อีกด้วย
4. ทำเลโครงการตั้งใกล้สวนสาธารณะ ควรอยู่ในระยะทางการเดินไม่เกิน 15 นาที
ในขณะที่ "ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี" (ttb analytics) ระบุว่าตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยในปี 2567 จะมีมูลค่าราว 7.5 หมื่นล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 12.4% จากปี 2566 โดยเจ้าของจะมีภาระค่าใช้จ่ายสำหรับสัตว์เลี้ยงเฉลี่ย 41,100 บาทต่อตัวต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเลี้ยงดูแบบปล่อยอิสระที่จะมีค่าใช้จ่ายราว 7,745 บาทต่อตัวต่อปี
โดยในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและบริการรักษาสัตว์ ได้รับอานิสงส์จากเมกะเทรนด์ดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดอาหารสัตว์ขยายตัวมีมูลค่าแตะ 4.46 หมื่นล้านบาท และมูลค่าการรักษาสัตว์มีมูลค่า 6.64 พันล้านบาท ในปี 2567 อีกกลุ่มคืออุปกรณ์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงและบริการดูแลสัตว์เลี้ยงที่ได้รับอานิสงส์ โดยคาดว่ามีมูลค่า 2.29 หมื่นล้านบาท และ 0.66 พันล้านบาท ตามลำดับ
นอกจากนี้ ผลการวิจัยพบว่า เฉพาะคนใน Gen X Gen Y และ Gen Z โดย Gen X มีสัดส่วนผู้เลี้ยงปลาและนกสูงสุดจากสัตว์เลี้ยงทุกชนิด เพราะไม่สร้างภาระให้ผู้เลี้ยงมากนัก เป็นสัตว์เลี้ยงที่เสริมให้บ้านมีชีวิตชีวา และยังช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลตามความเชื่อได้สำหรับคนรุ่น Gen Y มีสัดส่วนผู้เลี้ยงแมวสูงสุดจากสัตว์ทุกชนิด เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบและนิยมอาศัยอยู่คอนโดฯ การเลี้ยงแมวจึงเป็นทางเลือกที่ลงตัวสำหรับคนรักสัตว์ในวัยสร้างตัว ขณะที่คนรุ่น Gen Z เลี้ยงสุนัขมากที่สุด และมีการใช้จ่ายเติบโตสูงสุดจากทุกช่วงวัยถึง 46%
โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้จัดอันดับให้ธุรกิจสัตว์เลี้ยงอยู่ในอันดับ 8 จาก 10 ธุรกิจดาวรุ่งประจำปี 2567 กระแสการเลี้ยงสัตว์ในฐานะสมาชิกของครอบครัวได้รับความนิยมมากขึ้น เกิดเมกะเทรนด์ที่มาแรงคือ Pet Humanization ทำให้มีความยินดีที่จะใช้จ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยงมากขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อการเลี้ยงสัตว์มากที่สุด จากการสำรวจของ "ผู้จัดการรายวัน" พบว่า
บมจ.ออริจิ้น ที่เดินหน้าบุกตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่ม Pet Lover อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2564 โดยปัจจุบันพัฒนาคอนโดฯตอบโจทย์เหล่า Pet Lover สะสม 17 โครงการ มูลค่ารวมเกือบ 30,000 ล้านบาท ครอบคลุมหลายแบรนด์ เช่น บรอมพ์ตัน, บริกซ์ตัน, ดิ ออริจิ้น, ออริจิ้น เพลย์, ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ และออริจิ้น เพลส
บมจ.แอสเซทไวส์ เปิดโครงการใหม่ "เคฟ วันเดอร์แลนด์" มูลค่าโครงการ 2,550 ล้านบาท เป็นคอนโดฯแห่งแรกในย่านรังสิต ที่สามารถเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้ เพื่อตอบโจทย์ทุกมิติการอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่
ด้าน บมจ.เมเจอร์ ได้เปิดตัว "MAJOR Pet Family Residences : Exotic Pet" แบรนด์แรกและครั้งแรกของไทย ที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ Exotic ได้อย่างเป็นทางการ นำร่องโครงการแรก "เมทริส ดิสทริค ลาดพร้าว" คอนโดฯ ไฮไรส์ 45 ชั้น จำนวน 741 ยูนิต ราคา 3-20 ล้านบาท และเตรียมขยายสู่ทุกโครงการในอนาคต
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ