บิ๊ก SC Asset แจกแจง 3 ปัจจัยหลักฉุดอสังหาฯ
Loading

บิ๊ก SC Asset แจกแจง 3 ปัจจัยหลักฉุดอสังหาฯ

วันที่ : 28 มกราคม 2568
SC เผย 3 ปัจจัยหลักฉุดอสังหาฯ 1. หนี้ครัวเรือนสูง 2. ความเชื่อมั่นต่ำ เเละ 3. ซัพพลายล้น
    ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ แจง 3 ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2568 ขณะแผนงานของ SC Asset เน้นความหลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อครบทุกกลุ่มเป้าหมาย

    นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น กล่าวในงานสัมมนาลงทุนประจำปี KKP The Year Ahead 2025 ของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร ว่า สถานการณ์ปี 2567 ที่ผ่านมาและปี 2568 มีความท้าทายและยากลำบากจาก 3 ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

   1. หนี้ครัวเรือนสูง ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบของวิกฤติโควิด-19 ทำให้การเข้าถึงสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยยากขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลต่อภาระหนี้สินและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ

   2. ความเชื่อมั่นต่ำ เป็นผลมาจากความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยสินเชื่อและการปรับลดเกรดความน่าเชื่อถือของบริษัทหลายแห่งทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่ำในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย เกิด Rejection สินเชื่อบ้านที่เกิน 10 ล้านบาทมากกว่า 10%

   3. ซัพพลายล้น ตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านหรูเริ่มกลับมาดี ทำให้หลายบริษัทในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ต่างพากันเข้ามาแข่งขันในตลาดเดียวกัน ส่งผลให้เกิดซัพพลายเพิ่มขึ้น 80% ในกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและบ้านหรูที่ขายดี คาดต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4 ปี ในการระบายสินค้าคงค้าง (Stock) หมด! จากปกติใช้เวลา 2-3 ปี ในการระบาย

    ขณะที่สถานการณ์โดยรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2568-2569 ยังมีโอกาสดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่ตลาดได้ หากสามารถจับจังหวะที่น่าสนใจ จาก “3 ท.” ประกอบด้วย "ท.เที่ยว" ซึ่งการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนประเทศไทยเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะการลงทุนคอนโดมิเนียมและโรงแรมในแหล่งท่องเที่ยวถัดมา “ท.เทศ” คือลูกค้าต่างชาติที่ย้ายถิ่นฐานจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา รัสเซีย และไต้หวัน เพิ่มความต้องการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 20% โดยเฉพาะกลุ่มตลาดรายได้สูง เป็นโอกาสให้กับไทยซึ่งเป็นประเทศไทยน่าอยู่ และ “ท.ท็อป” (Top Tier) ตลาดบ้านหรู มูลค่า 20 ล้านบาทขึ้นไป ยังคงแข็งแกร่งและมีความต้องการสูง แม้ซัพพลายจะมีมากกว่าความต้องการ แต่ยังมีการเติบโตในกลุ่มลูกค้าระดับท็อป เพราะกำลังซื้อแข็งแรงที่สุด ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายลงมาเล่น

   ทั้งนี้ หลังโควิด-19 ลูกค้าในประเทศยังคงมีความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ แต่มีความไม่พร้อมเรื่องกำลังซื้อ และกังวลกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ต่างจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มีความต้องการซื้อ แต่ซื้อไม่ได้ด้วยจำนวนโควตาที่จำกัด

   “ยุคที่บริบททางเศรษฐกิจและการตลาดยังคงผันผวน เอสซี แอสเสท มองเห็นความสำคัญของความหลากหลายในการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ ในช่วงเวลาที่ความแม่นยำไม่สามารถรับประกันผลสำเร็จในทุกสถานการณ์ บริษัทจึงเลือกมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโดมิเนียม หรือโรงแรม เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าทุกกลุ่ม และกระจายความเสี่ยงในการลงทุน”

    นายณัฐพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนแผนธุรกิจเอสซีในยุคผันผวนนี้ บริษัทมองว่าความแม่นยำไม่สำคัญเท่าความหลากหลาย ทำให้เอสซี มีบ้าน คอนโดมิเนียม โรงแรม ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อครบทุกกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่สุดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันคือการมีสินค้าคงค้างที่มากเกินไป โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ที่มีการซัพพลายเกินดีมานด์มากขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ต้องใช้เวลานานในการระบายสินค้าคงค้างออกจากตลาดกว่า 4 ปี ซึ่งมากกว่าการประเมินเมื่อปีก่อนที่คาดว่าจะใช้เวลาเพียง 2 ปี

   “แม้ว่าในระยะสั้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงเผชิญกับความท้าทายที่เกิดจากหนี้ครัวเรือนสูง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำ และซัพพลายที่มากเกินไป แต่หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เช่น หนี้ครัวเรือนลดลง ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจกลับมา ผู้ประกอบการลดการเปิดโปรเจกต์ใหม่ มีโอกาสที่จะเห็นตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวในปี 2568 และกลับมามีความสมดุลในปี 2569 ก็ยังคงมีอยู่”
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ
30 มกราคม 2568
บิ๊กธุรกิจผุดโปรเจ็กต์ยักษ์บูม 'พัทยา'
LH กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและบริการ มีโรงแรมอยู่ภายใต้การบริหาร 7 แห่ง คือ โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ที่เปิดดำเนินการแล้ว 7 แห่ง มูลค่ารวม 14,700 ล้านบาท โดยขายเข้ากองทรัสต์ 6 แห่ง อยู่ระหว่างก่อสร้าง 3 แห่ง ได้แก่ แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี มิกซ์ยูส มูลค่า 4,800 ล้านบาท ประกอบด้วยพื้นที่สำนักงาน 12,700 ตร.ม. โรงแรม 512 ห้อง เปิดวันที่ 1 เมษายนนี้, แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ราชดำริ 2 มูลค่า 4,600 ล้านบาท จะเปิดไตรมาสแรกปี 2569 และแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ พัทยา 3 มูลค่า 4,300 ล้านบาท จะเปิดไตรมาสแรกปี 2570 ทั้ง 3 แห่งเป็นโรงแรมลักชัวรี่ ขนาดประมาณ 500 ห้อง