ส่องอสังหาฯภาคใต้ เมกะโปรเจคดันตลาดโต
Loading

ส่องอสังหาฯภาคใต้ เมกะโปรเจคดันตลาดโต

วันที่ : 30 พฤษภาคม 2560
ส่องอสังหาฯภาคใต้ เมกะโปรเจคดันตลาดโต

ในงานสัมมนาสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคใต้ ซึ่งมีผู้ประกอบการในจังหวัดต่างๆ ในเมืองท่องเที่ยวหลัก มาบอกเล่าสถานการณ์อสังหาฯ พบว่า ปัจจุบันยังคงคึกคัก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ ทำให้ เกิดการขยายตัวของอสังหาฯ รองรับสภาพ เมืองที่จะเปลี่ยนไปในอนาคตไม่ต่างจาก ในกรุงเทพฯและปริมณฑล

 

ศิริวรรณ ผ่องเสริมสุข นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดสงขลา กล่าวว่า ปัจจุบันภาพรวมราคาที่ดินเฉลี่ยในจังหวัดนี้  ถือได้ว่ามีราคาสูงเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ  โดยเฉพาะราคาที่ดินในหาดใหญ่ หากจะขึ้นโครงการแนวราบก็ยากต่อการพัฒนาให้คุ้มทุน ดังนั้นการขึ้นโครงการจากนี้ ต้องเป็นแนวสูง ทำให้อาคารชุดขยายตัว เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปี 2554 มีอาคารชุดมากถึง 6,000 -7,000 ยูนิต ทั้งนี้ โครงการลงทุนภาครัฐ เช่น โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายหาดใหญ่-ชายแดนมาเลเซีย ทั้งตอนที่ 1 และตอนที่ 2 ระยะทางประมาณ 63.5  กิโลเมตร (กม.) งบประมาณ 30,185 ล้านบาท ไม่รวม งบประมาณสำหรับเวนคืน โดยโครงการนี้ มีหน่วยงานรับผิดชอบคือกรมทางหลวง ได้เริ่มสำรวจและออกแบบรายละเอียดแล้วเสร็จในช่วงมี.ค.ปีก่อน เริ่มเวนคืนระหว่าง ปี 2561-2563 ก่อสร้างในปี 2563-2565 และคาดว่าจะเปิดใช้บริการในปี 2565  พร้อมกันนี้ ยังมีโครงการพัฒนารถไฟรางคู่ จากปาดังเบซาร์-สุราษฎร์ธานี รวมถึง ยังมีโครงการศึกษาก่อสร้างรถไฟรางคู่ ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา ระยะทางรวม 321 กม. แบ่งเป็นช่วงสุราษฎร์ธานี - ชุมทางหาดใหญ่ ระยะทาง 292 กม.ผ่าน 4 จังหวัด มีจำนวนสถานีและที่หยุดรถไฟจำนวนทั้งสิ้น 58 จุด ส่วนช่วง ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา ระยะทางรวม 29 กม.  วิ่ง 1 จังหวัด มีสถานีในแนวเส้นทาง 7 สถานี ทั้งยังมีโครงการนิคมอุตสาหกรรมยางพารา (Rubber City) ขนาดพื้นที่ 1,218 ไร่ ตั้งอยู่ใน อ.หาดใหญ่ ตั้งเป้าหมายว่า จะมีโรงงานเข้ามาลงทุนในนิคมฯนี้ทั้งสิ้น 70 โรงงานภายในปี 2564 รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท คาดจะสามารถเปิดดำเนินการได้ภายในปีนี้ "มองว่า ผู้ซื้อยังมีความต้องการอยู่มาก แต่ในด้านความเชื่อมั่น ความพร้อมหรือความมั่นใจต่างๆยังเป็นเรื่องสำคัญ หากธนาคารไม่มั่นใจก็ปล่อยสินเชื่อยาก"

 

พิริยะ  ธานีรณานนท์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บ้านสวยกรุ๊ป (สุราษฎร์ธานี) จำกัด กล่าวถึง ภาพรวมตลาดอสังหาฯสุราษฎร์ธานี ว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ที่สำคัญของภาคใต้ มีรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าจังหวัด ประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาทในปีก่อน โดยจ.สุราษฎร์ธานี เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของอาเซียน ทั้งยังได้รับความสนใจจากนักลงทุน รายใหญ่หลายรายที่มองเห็นศักยภาพเช่น สายการบินบางรายที่ตั้งเป้าหมายจะใช้เป็น ฐานเจาะตลาดนี้ รวมถึงกลุ่มโรงพยาบาล  "ในปัจจุบัน จ.สุราษฎร์ธานี แมูว่าจะมีการคูการลงทุนอยู่มาก แต่ยังไม่มีโรงพยาบาล ระดับเกรดเอ จึงทำใหูกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ สนใจและซื้อที่ดินกว่า 15ไร่ ปรับการออกแบบจากโรงพยาบาล 3 ชั้น เป็น 9 ชั้น เพื่อรองรับการใชูบริการจากกลุ่มนักท่องเที่ยว และผูมีกำลังซื้อค่อนขูงสูง" โดยในปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวมาภูเก็ตกันมาก จึงมีนักท่องเที่ยวบางส่วน มาลงที่สุราษฎร์ธานีและพักค้างคืน โดยส่วนหนึ่งเนื่องจากค่าใช้จ่ายโดยรวมต่ำกว่าการท่องเที่ยวและเข้าพักในภูเก็ต ทำให้การค้าการลงทุนต่างในสุราษฎร์ธานีได้รับอานิสงส์นี้ด้วยโดยถือเป็นรายได้พิเศษ จากการท่องเที่ยวเกาะสมุย เกาะเต่า  หมู่เกาะต่างๆ รวมถึง เขาสก

 

บุญ ยงสกุล นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต กล่าวถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯว่า โครงการจัดสรรตามใบอนุญาตลดลงตามสภาพเศรษฐกิจ โดยมองในว่า  2-4 ปี เป็นระยะเวลาการดูดซับของตลาดอสังหาฯภูเก็ตในปัจจุบัน สำหรับภาพรวมความต้องการเข้าพักตลาด อพาร์ตเมนท์ โรงแรมในโซนที่เหมาะสม  ปัจจุบันอยู่ที่ 11% เมื่อเทียบกับซัพพลาย ที่อยู่ที่ประมาณ 9% หรือมีน้อยกว่าความต้องการ จึงมีความน่าสนใจ ค่อนข้างมากหากผู้ประกอบการรายใด สนใจจะทำตลาดอพาร์ตเมนต์ เพื่อ เจาะความต้องการเหล่านี้  "ภูเก็ตยังมีโครงการก่อสรูงที่น่าสนใจจะเขูมาประตูนตลาด เช่น โครงการท่าเรือน้ำลึก ที่กรมธนารักษ์ไดูเปิดโอกาสใหูเอกชนเขูไปประมูลพัฒนา รวมถึงโครงการรถไฟรางเบาที่วิ่งบนถนนเพื่อลดการบดบังทัศนียภาพ รวมถึงการแกูปัญหาการจราจรดูวยการสรูงอุโมงค์เพิ่มเติม หลังจากก่อนหนูนี้ มีโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐต่างๆ เช่นการขยายสนามบิน" ทั้งนี้ ภาพรวมความหนาแน่นของประชากรในภูเก็ตเป็นอันดับ 5 ของ ประเทศ ด้านรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าจังหวัดในปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 3.2 แสนล้านบาท มีจำนวนห้องพักรวมทั้งสิ้น 8.2 หมื่นห้อง การใช้จ่ายนักท่องเที่ยว ต่อคนเฉลี่ยอยู่ที่ 2.4 หมื่นบาท มีอัตราการเข้าพัก 1.44 วัน เมื่อเทียบกับกระบี่  พักเฉลี่ย 5 วันต่อคนต่อทริป นักท่องเที่ยว เริ่มเปลี่ยนเป็นแบบท่องเที่ยวด้วยตัวเอง  (FIT) มากขึ้น เริ่มเห็นนักท่องเที่ยวจากตลาดใหม่ๆ มากขึ้น เช่น อินเดีย เมียนมา คาซัคสถานมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็น นักธุรกิจเจ้าของกิจการ

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

 

 

 

ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ