เศรษฐกิจผันผวนทุบรายได้อสังหาวูบ15%
Loading

เศรษฐกิจผันผวนทุบรายได้อสังหาวูบ15%

วันที่ : 5 มีนาคม 2568
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้รายงานว่า มูลค่ารวมของยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งปี 2567 ลดลงจากปี 2566 ประมาณ 6.3% จากปัจจัยลบรอบด้านที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย รวมไปถึงปัญหาของการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างลำบาก เพราะสถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ ส่งผลให้การโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2567 ลดลง ทั้งในส่วนของจำนวนและมูลค่ารวม ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่พยายามหาช่องทางในการสร้างรายได้แบบต่อเนื่องตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา
   จับตาปี68ปัจจัยลบยังรุมเร้า/เอกชนแนะรัฐเร่งกระตุ้น

    "ด้วยแรงกดดันในตลาดที่อยู่อาศัยยังคงมีต่อเนื่องในปีนี้ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลดลงเหลือ 2% แล้วก็ตาม แต่มาตรการช่วยเหลือหรือมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ จากรัฐบาลยังไม่มีความเคลื่อนไหว รวมไปถึงการที่ผู้ประกอบการทุกรายพยายามกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนปรนเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อ การผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ชั่วคราว เพื่อให้กำลังซื้อส่วนหนึ่งกลับเข้ามาในตลาด แต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้รับการตอบรับจากหน่วยงานภาครัฐ หากเป็นแบบนี้เชื่อว่าปี 2568 จะยังเป็นอีกปีที่ตลาดที่อยู่อาศัยต้องเผชิญกับความท้าทายต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา"

    สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ปี 2568 ยังมีปัจจัยลบรุมเร้าอย่างต่อเนื่อง และไม่มีทีท่าว่าจะลดลง รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่ผันผวนไปในทางที่หดตัว ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่มีสัดส่วนสูงกว่า 90% ส่งผลต่อสภาพคล่องผู้บริโภค ทำให้กำลังซื้อในภาพรวมยังไม่ดีจากผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย ประกอบกับสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดการให้สินเชื่อบุคคลหรือรายย่อยอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยดังกล่าวจะส่งผล กระทบต่ออสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปี 2568 เป็นอีกปีที่ยากในการพัฒนา ดังนั้นผู้ประกอบการโครงการทั้งรายใหญ่กลางและย่อยต้องระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น

    ซึ่งดูได้จากภาคอสังหาฯ ทยอยประกาศผลประกอบการปี 2567 ออกมากันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ประกาศผลประกอบการของปี 2567 ออกมากันครบแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้รวมลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 แต่ก็มีอีกหลายบริษัทที่มีรายได้รวมเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ สวนทางกับทิศทางการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567

    ซึ่ง ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้รายงานว่า มูลค่ารวมของยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งปี 2567 ลดลงจากปี 2566 ประมาณ 6.3% จากปัจจัยลบรอบด้านที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย รวมไปถึงปัญหาของการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างลำบาก เพราะสถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ ส่งผลให้การโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2567 ลดลง ทั้งในส่วนของจำนวนและมูลค่ารวม ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่พยายามหาช่องทางในการสร้างรายได้แบบต่อเนื่องตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา

    ปี 67 รายได้รวมลดลง 15%

    ขณะที่ นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย มองว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีรายได้รวมในปี 2567 ลดลง คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับปี 2566 แต่ก็มีผู้ประกอบการบางรายเช่นกันที่มีรายได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงจากปีก่อนหน้านี้ไม่มาก หรือลดลงประมาณ 2-3% เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยยังมีกำลังซื้ออยู่ในตลาดต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการรายใดจะเข้าถึงและสามารถดึงดูดให้ผู้ซื้อจองและโอนกรรมสิทธิ์ได้มากกว่ากัน

    สำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้มากที่สุดในปี 2567 ใน 5 อันดับแรก คือ แสนสิริ มีรายได้รวมทั้งปี 2567 ประมาณ 39,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ประมาณ 2% ตามมาด้วย เอพี (ไทยแลนด์) มีรายได้รวมประมาณ 37,460 ล้านบาท และศุภาลัย มีรายได้ประมาณ 31,985 ล้านบาท ส่วนแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีรายได้รวม 28,151 ล้านบาท และพฤกษาฯ มีรายได้รวม 20,996 ล้านบาท

    ทั้งนี้ใน 5 อันดับแรกนี้ ครองผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยมาต่อเนื่องทั้งรายได้และยอดขาย โดยผู้ประกอบการบางรายอาจเคยครองตำแหน่งอันดับที่ 1 หรืออันดับ 2 ต่อเนื่องมายาวนาน แต่ด้วยภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงโฟกัสของผู้ประกอบการที่เปลี่ยนไปมีผลต่อรายได้รวมเช่นกัน

     ส่วนของกำไรสุทธิในกลุ่ม 5 อันดับแรก มีเพียงศุภาลัยเท่านั้นที่มีผลกำไรเป็นบวกเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของปี 2566 ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ มีกำไรลดลงไม่มากหรือมีนัยสำคัญอะไรต่อผลประกอบการมากนัก โดยเฉพาะแสนสิริ และเอพี (ไทยแลนด์) ที่ลดลง 13.3% และ 17.1% ตามลำดับ เนื่องจากผลกำไรยังมีมูลค่าเกิน 5 พันล้านบาท ซึ่งกำไรที่ลดลงในปีที่ผ่านมาอาจจะชดเชยกลับมาในปี 2568 นี้ก็เป็นไปได้ แม้ว่าสภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะยังไม่ฟื้นตัว และมีทิศทางที่ต้องจับตามองอยู่ก็ตาม

    อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 ผู้ประกอบการรายใหญ่มีแผนจะเปิดขายโครงการใหม่มากกว่าปี 2567 และยังคงเป็นการขับเคี่ยวกันของ 3 รายหลัก คือ เอพี (ไทยแลนด์) ที่ประกาศแผนการลงทุนมีมูลค่าโครงการรวมมากถึง 65,000 ล้านบาท จากจำนวน 42 โครงการ ในขณะที่แสนสิริเปิดขายโครงการใหม่จำนวน 29 โครงการเท่านั้น แต่มีมูลค่าโครงการมากถึง 52,000 ล้านบาท โดยโฟกัสไปที่กลุ่มสินค้าระดับบน-ลักชัวรีมากขึ้น ส่งผลให้มูลค่าเฉลี่ยต่อโครงการสูงกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ และศุภาลัยมีโครงการเปิดขายใหม่จำนวน 36 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 46,000 ล้านบาท

    "ด้วยแรงกดดันในตลาดที่อยู่อาศัยยังคงมีต่อเนื่องในปีนี้ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลดลงเหลือ 2% แล้วก็ตาม แต่มาตรการช่วยเหลือหรือมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ จากรัฐบาลยังไม่มีความเคลื่อนไหว รวมไปถึงการที่ผู้ประกอบการทุกรายพยายามกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนปรนเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อ การผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ชั่วคราว เพื่อให้กำลังซื้อส่วนหนึ่งกลับเข้ามาในตลาด แต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้รับการตอบรับจากหน่วยงานภาครัฐ หากเป็นแบบนี้เชื่อว่าปี 2568 จะยังเป็นอีกปีที่ตลาดที่อยู่อาศัยต้องเผชิญกับความท้าทายต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา"

    SENA รายได้รวมทั้งปี 8,450 ล้านบาท

   ขณะที่ นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดสรรเงินและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ระบุว่า ผลประกอบการปี 2567 มีรายได้รวมกัน 8,450.87 ล้านบาท และมีผลกำไรสุทธิ 508.6 ล้านบาท คิดเป็น 15.3% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 14.9% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน และพิจารณาอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม 2567-31 ธันวาคม 2567 จำนวนประมาณ 160,435,558 บาท สำหรับหุ้นสามัญของบริษัทที่เรียกชำระแล้วจำนวน 1,442,272,937 หุ้น หรือคิดเป็นอัตราหุ้นละ 0.111238 บาท/หุ้น

    ทั้งนี้บริษัทมั่นใจศักยภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงเดินหน้าได้ และด้วยประสบการณ์การในวงการอสังหาฯ ที่ยาวนาน ความมีวินัยทางการเงินอย่างสูง ทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถก้าวข้ามความท้าทายทางเศรษฐกิจได้ พร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Sustainable Living Leader) ด้วยความเชี่ยวชาญในตลาด Affordable ที่มีเรียลดีมานด์สูง และเปิดโอกาสการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยด้วยโครงการ LivNex เช่าออมบ้าน เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย แต่ยังต้องรอให้มีความสามารถกู้เพื่อการเป็นเจ้าของบ้าน ซึ่งได้รับความสนใจและผลตอบรับที่ดี ตอกย้ำบทบาทในการขับเคลื่อนการเข้าถึงที่อยู่อาศัยให้เป็นจริง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภค

    อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 ที่ผ่านมานั้น เสนามีรายได้รวมทุกธุรกิจ 10,954.56 ล้านบาท, มีกำไรขั้นต้น 3,265.26 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 31.6% ของรายได้รวมสุทธิ

    ORN แย้มทิศทางธุรกิจ Q1/68 สัญญาณดี

    นายอรรคเดช อุดมศิริธำรง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ORN เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจไตรมาส 1/2568 มีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง บริษัทสามารถทำยอดขายพรีเซลบ้าน-คอนโดฯ มูลค่ารวมกว่า 825.99 ล้านบาท โดยโครงการที่อยู่ระหว่างขายมีผลตอบรับดี แบ่งเป็นโครงการแนวสูง 60% และโครงการแนวราบ 40% ส่งผลให้บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 มูลค่ารวมประมาณ 2,246.15 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาเพิ่มในไตรมาส 2/2568

    ทั้งนี้ โครงการของบริษัทที่ได้รับความสนใจ มีกระแสที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ใกล้แหล่งช็อปปิ้ง โรงเรียนนานาชาติ Mill Hill International School Thailand อีกทั้งจาก ความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าต่างชาติและกลุ่มเรียลดีมานด์ ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัยเองและลงทุนปล่อยเช่า ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และภูเก็ต ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

    นอกจากนี้ ORN เตรียมจัดโปรโมชันพิเศษตลอดทั้งปีเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ โดยจะมีการนำเสนอข้อเสนอที่หลากหลายและคุ้มค่า เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย ผลักดันยอดขายและยอดโอนเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดจัดแคมเปญ GET SET GO รับโบนัสสูงสุด 2 ล้านบาท บัตรกำนัลกว่า 400,000 บาท และฟรีทุกค่าใช้จ่าย

    "เรายังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ทันสมัยและสะดวกสบาย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครอบคลุม อีกทั้งมุ่งเน้นกลยุทธ์ทางการตลาดที่แข็งแกร่ง และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างการเติบโตต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2568 ไว้ที่ประมาณ 2,218 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการปี 2567 กวาดรายได้ 545 ล้านบาท กำไรสุทธิ 75 ล้านบาทโต 476%" นายอรรคเดชกล่าว