อสังหาฯเมืองท่องเที่ยวโตกระฉูดQ1 เม็ดเงินไหลเข้า "พัทยา-หัวหิน-ภูเก็ต" 6.5หมื่นล.
วันที่ : 13 พฤษภาคม 2567
คอลลิเออร์ส คาดการณ์ว่า ตลาดอสังหาฯเมืองท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 2 และในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จะยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่องซัปพลายเปิดขายใหม่จากผู้พัฒนารายใหญ่ยังคงเปิดตัวอย่างคึกคักในหลายพื้นที่ เพื่อรองรับความต้องการของกำลังซื้อที่ยังคงให้ความนิยมคอนโดฯ และบ้านพักตากอากาศสำหรับเป็นบ้านหลังที่ 2
คาดคอนโดฯใหม่ภูเก็ตทะลุ 8,500 ยูนิต
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ณ ปัจจุบัน แม้ว่าจะมีการขยายตัวที่ดีขึ้น หลังจากได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคธุรกิจอสังหาฯของรัฐบาล แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าการขยายตัวดังกล่าวเกิดขึ้นในเมืองท่องเที่ยวมากกว่าตลาดส่วนกลางอย่างกรุงเทพฯ โดยอัตราการเติบโตของอสังหาฯในเมืองท่องเที่ยวนั้นมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดกันเลยทีเดียว โดยพบว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมากกว่า 12 ล้านคน สร้างมูลค่าจากการท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศสูงกว่า 583,000 ล้านบาท
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัทคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า จากการสำจรวจตลาดในช่วงไตรมาสแรกปี 2567 พบว่าเมืองท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลทั้งในพื้นที่ภูเก็ต พัทยา และหัวหิน ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก โดยมีเม็ดเงินลงทุนกว่า 56,600 ล้านบาทที่หลั่งไหลเข้าสู่ 3 พื้นที่ดังกล่าว ซึ่งภาวะตลาดที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบมากกว่า 10 ปีที่ซัปพลายเปิดขายใหม่ของตลาดคอนโด มิเนียมเมืองท่องเที่ยวในพื้นที่ภูเก็ตและพัทยาสูงกว่าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งด้านจำนวนยูนิต และด้านมูลค่าการพัฒนารวม ผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพมหานครและผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ต่างพากันเปิดตัวโครงการใหม่กันอย่างคึกคัก และหลายโครงการยังคงปิดการขายได้อย่างรวดเร็วเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ และหลายโครงการยูนิตขายยังคงถูกดูดซับออกไปด้วยกำลังซื้อต่างชาติโดยเฉพาะกำลังซื้อรัสเซีย
"คอลลิเออร์ส" คาดการณ์ว่า ตลาดอสังหาฯเมืองท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 2 และในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จะยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่องซัปพลายเปิดขายใหม่จากผู้พัฒนารายใหญ่ยังคงเปิดตัวอย่างคึกคักในหลายพื้นที่ เพื่อรองรับความต้องการของกำลังซื้อที่ยังคงให้ความนิยมคอนโดฯ และบ้านพักตากอากาศสำหรับเป็นบ้านหลังที่ 2 และเพื่อการลงทุนและหลายโครงการอาจสร้างกระแสการพูดถึงส่งผลให้โครงการได้รับความสนใจจากกำลังซื้อและสามารถปิดการขายลงในระยะเวลาอันรวดเร็ว
โดยในส่วนของภาพรวมตลาดคอนโดฯ และบ้านพักตากอากาศในพื้นที่ภูเก็ต ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่ามีซัปพลายคอนโดมิเนียม และบ้านพักตากอากาศมากกว่า 3,500 ยูนิต มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 35,000 ล้านบาททยอยเปิดขายในตลาดภูเก็ตในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีโครงการคอนโดฯเปิดขายใหม่ในจังหวัดภูเก็ตรวม 35,501 หน่วย ขณะที่ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 นี้ มีซัปพลายคอนโดฯเปิดขายใหม่มากถึง 12 โครงการ 3,338 หน่วย ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 25,059 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 10% ของหน่วยคอนโดฯที่เปิดขายตลอดช่วง 10 ที่ผ่านมาเลยทีเดียว
สำหรับโครงการที่เข้ามาลงทุนโครงการใหม่ในช่วงไตรมาสแรก ส่วนใหญ่เป็นบริษัทอสังหาฯรายใหญ่ ทั้งจากกรุงเทพมหานคร และ ผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ ซึ่งพากันเปิดตัวโครงการใหม่กันอย่างคึกคัก เช่นบมจ.แสนสิริ, บมจ.แอสเซทไวส์, บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, บจ.บริษัทฮาบิแทท กรุ๊ป และ บริษัท CG Capital จำกัด เปิดตัวโครงการใหม่ โดยใช้ชื่อว่า The Standard Residences, Phuket Bang Tao (เดอะสแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา) มูลค่าโครงการมากกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งปกติแล้วคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในแต่ละปีในจังหวัดภูเก็ตมีเพียงแค่ปีละประมาณ 2,000-3,000 ยูนิตต่อปีเท่านั้น เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก บวกกับการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนเป็นเสมือนแรงผลักดันที่สำคัญให้ตลาดคอนโด มิเนียมในจังหวัดภูเก็ตมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งคาดการณ์ว่าสำหรับในปี 2567 อาจมีคอนโดฯเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดอีกกว่า 8,500 ยูนิต
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2567 พบว่าในพื้นที่เกาะภูเก็ตมีอุปทานคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายในตลาดทั้งหมด 87 โครงการด้วยยูนิตขายทั้งหมด 25,591 ยูนิต ขายไปแล้ว 16,905 ยูนิตหรือคิด เป็น 66.05% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ผ่านมา 0.25% และมีหน่วยขายรอการระบายทั้งหมด 8,686 ยูนิต คิดเป็น 33.95% และพบว่าผู้พัฒนาส่วนใหญ่ให้ความสนใจพัฒนาโครงการในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของจังหวัดภูเก็ตมากที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่ บางเทา เชิงทะเล พื้นที่โดยรอบ ลากูน่า และกมลา เป็นต้น และส่วนใหญ่เป็นรูปแบบ 1 ห้องนอนที่ สัดส่วน 53.97% และพื้นที่ขนาด 31-50 ตารางเมตรที่สัดส่วน 48.63% และช่วงราคา 3.0-5.0 พบว่ามีสัดส่วนที่สูงสุดคิดเป็น 31.69%
นายภัทรชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ "คอลลิเออร์ส" ยังพบว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพมหานครจำนวนมากมองเห็นโอกาสการลงทุนเข้าไปเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมาก และหลายโครงการสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่เกาะภูเก็ตในปีที่ผ่านมาคึกคักเป็นอย่างมาก มีอัตราการดูดซับเฉลี่ยต่อเดือนที่สูงถึง 5.80% และพบว่าคอนโดมิเนียมในเกาะภูเก็ตในช่วงราคา 3.0-5.0 ล้านบาทต่อยูนิตมีอัตราการดูดซับเฉลี่ยต่อเดือนสูงถึง 6.50%
สำหรับซัปพลายเปิดขายใหม่ของบ้านพักตากอากาศในพื้นที่ จังหวัดภูเก็ต ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2567 เติบโตแบบก้าวกระโดด เช่นกัน โดยพบว่ามีอุปทานเปิดขายใหม่ของบ้านพักตากอากาศมาก ถึง 10 โครงการ จำนวน 237 ยูนิต ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 9,500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นอุปทานเปิดขายใหม่ที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันของในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของเกาะ โดยเฉพาะทำเลย่านบางเทา เชิงทะเล และพื้นที่โดยรอบลากูน่า เป็นต้น
"ทำเลย่านบางเทา และเชิงทะเลในปีที่ผ่านมา ผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ เช่น บมจ.ลากูน่า รีสอร์ท แอนด์ โฮเท็ล รวมถึงผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพมหานคร เช่น บมจ.แสนสิริ, บมจ.แอสเซทไวส์, บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, บจ. ฮาบิแทท กรุ๊ป รวมถึง บมจ. ไซมิส แอสเสท ให้ความสนใจเข้าไปพัฒนาโครงการบ้านพักตากอากาศบนทำเลย่านนี้เป็นครั้งแรกและหลายโครงการได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกำลังซื้อรัสเซีย" นายภัทรชัยกล่าว
สำหรับภาพรวมตลาดบ้านพักตากอากาศในพื้นที่เกาะภูเก็ต ณ สิ้นไตรมาสแรกปี2567 มีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 117 โครงการด้วยยูนิตขายทั้งหมด 2,545 ยูนิต และสามารถขายออกไปแล้ว 1,220 ยูนิต เหลือยูนิตรอการขาย 1,382 ยูนิต โดยพบ 98% เป็นประเภทบ้านเดี่ยว และอยู่ในช่วงราคาต่ำกว่า 30 ล้านบาท 39.89% ตามมาด้วยในช่วงระดับราคา 30-50 ล้านบาท 41.10% และช่วงระดับราคา 30-50 ล้าน บาท 37.09% และพบว่ามากกว่า 46.07% เป็นรูปแบบ 3 ห้องนอนและมีขนาดพื้นที่ใช้สอยในช่วง 300-500 ตารางเมตร
ทั้งนี้ ตลาดบ้านพักตากอากาศในช่วงไตรมาสแรกปี 2567 ได้รับความสนใจจากกำลังซื้อต่างชาติเป็นอย่างมาก รวมถึงกลุ่มลูกค้าคนไทยทั้งจากกรุงเทพมหานครและคนไทยในพื้นที่ ลูกค้าจากประเทศกลุ่ม ยุโรป เช่น เยอรมนี เดนมาร์ก และกำลังซื้อจากชาติในกลุ่มเอเชีย เช่น จีน ฮ่องกง และ สิงคโปร์ ฯ
นายภัทรชัย กล่าวว่า "คอลลิเออร์ส" ยังพบอีกว่าโครงการบ้านพักตากอากาศหลายโครงการสามารถปิดยอดการขายได้มากกว่า 80% เพียงแค่ในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากการเปิดขายเท่านั้น และส่วนใหญ่ ถูกเหมาซื้อไปโดยกำลังซื้อต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ารัสเซีย ทั้งที่ซื้อเพื่อการลงทุนและการอยู่อาศัย
สำหรับตลาดบ้านพักตากอากาศและตลาดคอนโดฯในพื้นที่เกาะภูเก็ตจะยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่อง โดยผู้พัฒนารายใหญ่ทั้งจากกรุงเทพมหานครและผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ยังคงมองเห็นโอกาสการลงทุนเปิดตัวโครงการใหม่ ซึ่งพบว่า Branded Resi dence โครงการใหญ่ เช่นโครงการ The Stan dard Residences Phuket Bangtao รวมถึงผู้พัฒนารายใหญ่อีกเป็นจำนวนมากต่างรอการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างคึกคักในปีนี้ โดยเฉพาะทำเลย่าน บางเทา เชิงทะเล พื้นที่โดยรอบลากูน่า และกมลา ถือว่าเป็นทำเลที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาของตลาดคอนโดฯและบ้านพักตากอากาศภูเก็ต โดยทำเลดังกล่าวส่วนใหญ่เน้นการขายแบบการันตีค่าเช่าโดยมีทั้ง 5% 3 ปี หรือ 7% 3 ปี แตกต่างกันไป ซึ่งส่วนใหญ่ทุกโครงการ มียอดขายในส่วนของต่างชาติ 49% ค่อนข้างจะเต็มทุกโครงการ แต่หากมีลูกค้าชาวต่างชาติสนใจเพิ่มเติมก็จะขายแบบเช่าระยะยาวแบบ 30 + 30 + 30 ปี เพื่อเป็นการเปิดโอกาสการขายที่เพิ่มขึ้นสำหรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ
ซัปพลายคอนโดฯทยอยเข้าสู่ตลาดพัทยาอีกครั้ง
นายภัทรชัย กล่าวว่า สำหรับตลาดพัทยา ณ ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาคอนโดฯระดับลักชัวรีกำลังได้รับความสนใจของกลุ่มลูกค้า และมีอัตราการขายที่ค่อนข้างเร็ว ขณะที่ซัปพลายใหม่ทยอยกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง ทั้งในพื้นที่จอมเทียนและใจกลางเมืองพัทยา โดยฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส พบว่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ตลาดคอนโดฯพัทยากลับมาคึกคักอีกครั้ง ซัปพลายเปิดตัวใหม่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาของผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพฯ และผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ เช่น บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ บจ. ริเวียร่า กรุ๊ปเป็นต้น โดยพบว่า ในช่วงไตรมาสแรกของ ปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมาอุปทานเปิดขายใหม่ 3 โครงการ 4,493 ยูนิต ด้วยมูลค่าการลงทุน รวมประมาณ 16,100 ล้านบาท โดยทั้ง 3 โครงการเป็นโครงการขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่จอมเทียน และใจกลางเมืองพัทยา
นับตั้งแต่ครึ่งแรกปี 2554-ไตรมาสแรกปี 2567 มีซัปพลายเปิดขายใหม่ในตลาดคอนโดฯพัทยารวม 112,671 ยูนิต โดยพบว่า ในพื้นที่ย่านจอมเทียนมีการเปิดตัวคอนโด มิเนียมมากที่สุด 44,692 ยูนิต หรือคิดเป็น 39.66% ตามมาด้วยใน พื้นที่เขาพระตำหนัก 21,214 ยูนิต 18.82% และในพื้นที่ใจกลางเมืองพัทยาจำนวน 21,077 ยูนิต 18.70% จากแนวโน้มดังกล่าวคาดว่า ในช่วง 3 ไตรมาสจากนี้ อาจมีซัปพลายคอนโดฯใหม่เข้าสู่ตลาดกว่า 3,000 ยูนิต ซึ่งจะส่งผลให้ซัปพลาย สะสมในพัทยาปรับตัวสูงกว่า 7,000 ยูนิตซึ่งถือว่าเป็นซัปพลายเปิดขายใหม่ที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น บมจ.ออริจิ้น พร็อพ เพอร์ตี้ บมจ.แสนสริ และ บมจ.แอสเซท ไวส์ เป็นต้น ซึ่งผู้พัฒนา ทุกรายอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบโครงการและเตรียมที่จะเปิดตัวโครงการในอนาคตอันใกล้
ทั้งนี้ คอลลิเออร์สฯ พบว่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 จากจำนวน ซัปพลายที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 47,800 ยูนิต สามารถขายออกไปแล้วประมาณ 36,471 ยูนิต คิดเป็น 76.29% เหลือซัปพลายรอการขาย อีก 11,329 ยูนิต คิดเป็น 23.71% โดยพบว่าในพื้นที่ใจกลางเมืองพัทยามีอัตราการขายที่สูงที่สุดที่ 87.28% ตามมาด้วยในพื้นที่จอมเทียน 79.49% และในพื้นที่ย่านนาจอมเทียนที่ 74.12% โดยพบว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมาโครงการคอนโดฯระดับลักชัวรี ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป็นจำนวนมาก หลายโครงการสามารถปิดการขายได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมริมชายหาดทั้งในพื้นที่วงศ์อมาตย์และจอมเทียน เนื่องจากอุปทานคอนโดมิเนียมเหล่านี้ค่อนข้างมีอยู่อย่างจำกัดและมียูนิตรอการขายที่ค่อนข้างน้อย
ดีมานด์คอนโดฯหัวหินยังไปได้ขณะที่ "ชะอำ" ยังล้นรอระบาย
นายภัทรชัย กล่าวว่า สำหรับตลาดคอนโดฯหัวหินยังคงได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าและผู้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมามีอุปทานเปิดขายใหม่ 2 โครงการ 671 ยูนิต ซึ่งถือว่าอุปทานเปิดขายใหม่ที่สูงที่สุดในรอบ 12 ไตรมาส มูลค่าการลงทุน ประมาณ 6,000 ล้านบาท โดยตั้ง 2 โครงการเป็นการพัฒนาของ บมจ. แสนสิริ ซึ่งเป็นผู้พัฒนารายใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ และ 1 ในนั้นคือโครงการ The Standard Residences Hua Hin มูลค่าโครงการ รวม 4,500 ล้านบาท เป็นโครงการ Beachfront branded residences แห่งแรกในเอเชียเปิดตัวเป็นแห่งที่ 3 ของโลก โครงการตั้งอยู่บนไพร์ม โลเกชันบนที่ดินหายากติดหาดหัวหินที่สามารถพัฒนาโครงการใหญ่แบบฟรีโฮลด์ พร้อมกับ Beachfront Pool Villa ในราคายูนิตละ 100 ล้านบาท เพียง 2 ยูนิตเท่านั้น
ทั้งนี้ หากแบ่งซัปพลายเปิดขายใหม่คอนโดฯในพื้นที่หัวหิน ชะอำและปราณบุรี ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2567 พบว่าการเปิดตัวโครงการ คอนโดฯพื้นที่นี้ส่วนใหญ่ยังมีเพียงแค่ในพื้นที่เมืองหัวหิน ทั้งในพื้นที่หัวหินฝั่งทะเลและหัวหินฝั่งภูเขา ซึ่งเป็นทำเลยอดนิยมของกลุ่มลูกค้า โดยในพื้นที่ชะอำไม่พบว่ามีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมมากว่า 7 ปีนับตั้งแต่ในปี 2559 และคาดการณ์ว่าในพื้นที่ชะอำยังคงไม่มีการเปิดตัวโครงการคอนโดฯโครงการใหม่ในเร็วๆ นี้ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าว ยังคงมีซัปพลายสะสมรอการขายอีกเป็นจำนวนมาก และทั้งหมดเป็น ซัปพลายที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และรอการขาย
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี จากการสำรวจพบว่าซัปพลาย ระหว่างการขายในตลาดมีจำนวนทั้งหมด 15,790 ยูนิต สามารถ ขายได้แล้ว 11,115 ยูนิต คิดเป็น 70.39% และมียูนิตรอการขาย อีกทั้งหมด 4,675 ยูนิตหรือคิดเป็น 29.61% หากจำแนกตามพื้นที่ จะพบว่าพื้นที่หัวหินฝั่งทะเลเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการขายที่สูงที่สุด คิดเป็น 81.92% ตามมาด้วยในพื้นที่หัวหินฝั่งภูเขาคิดเป็น 69.75% สำหรับในพื้นที่ชะอำและปราณบุรีพบว่า อัตราการขายใหม่ค่อนข้าง เป็นไปอย่างช้าๆ และ ยูนิตที่รอการขายทั้งหมดเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและยังมียูนิตรอการขาย แตกต่าง กับในพื้นที่ใจกลางเมืองหัวหินทั้งในพื้นที่หัวหินฝั่งภูเขาและฝั่งทะเล ที่มีอัตราการขายได้ใหม่ที่ค่อนข้างเร็ว สะท้อนให้เห็นว่าตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่ใจกลางเมืองหัวหินยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับ ความสนใจทั้งจากกลุ่มลูกค้าและผู้พัฒนาที่ยังมองเห็นโอกาสการ พัฒนาเข้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ณ ปัจจุบัน แม้ว่าจะมีการขยายตัวที่ดีขึ้น หลังจากได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคธุรกิจอสังหาฯของรัฐบาล แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าการขยายตัวดังกล่าวเกิดขึ้นในเมืองท่องเที่ยวมากกว่าตลาดส่วนกลางอย่างกรุงเทพฯ โดยอัตราการเติบโตของอสังหาฯในเมืองท่องเที่ยวนั้นมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดกันเลยทีเดียว โดยพบว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมากกว่า 12 ล้านคน สร้างมูลค่าจากการท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศสูงกว่า 583,000 ล้านบาท
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัทคอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า จากการสำจรวจตลาดในช่วงไตรมาสแรกปี 2567 พบว่าเมืองท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลทั้งในพื้นที่ภูเก็ต พัทยา และหัวหิน ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก โดยมีเม็ดเงินลงทุนกว่า 56,600 ล้านบาทที่หลั่งไหลเข้าสู่ 3 พื้นที่ดังกล่าว ซึ่งภาวะตลาดที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบมากกว่า 10 ปีที่ซัปพลายเปิดขายใหม่ของตลาดคอนโด มิเนียมเมืองท่องเที่ยวในพื้นที่ภูเก็ตและพัทยาสูงกว่าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งด้านจำนวนยูนิต และด้านมูลค่าการพัฒนารวม ผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพมหานครและผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ต่างพากันเปิดตัวโครงการใหม่กันอย่างคึกคัก และหลายโครงการยังคงปิดการขายได้อย่างรวดเร็วเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ และหลายโครงการยูนิตขายยังคงถูกดูดซับออกไปด้วยกำลังซื้อต่างชาติโดยเฉพาะกำลังซื้อรัสเซีย
"คอลลิเออร์ส" คาดการณ์ว่า ตลาดอสังหาฯเมืองท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 2 และในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จะยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่องซัปพลายเปิดขายใหม่จากผู้พัฒนารายใหญ่ยังคงเปิดตัวอย่างคึกคักในหลายพื้นที่ เพื่อรองรับความต้องการของกำลังซื้อที่ยังคงให้ความนิยมคอนโดฯ และบ้านพักตากอากาศสำหรับเป็นบ้านหลังที่ 2 และเพื่อการลงทุนและหลายโครงการอาจสร้างกระแสการพูดถึงส่งผลให้โครงการได้รับความสนใจจากกำลังซื้อและสามารถปิดการขายลงในระยะเวลาอันรวดเร็ว
โดยในส่วนของภาพรวมตลาดคอนโดฯ และบ้านพักตากอากาศในพื้นที่ภูเก็ต ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่ามีซัปพลายคอนโดมิเนียม และบ้านพักตากอากาศมากกว่า 3,500 ยูนิต มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 35,000 ล้านบาททยอยเปิดขายในตลาดภูเก็ตในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีโครงการคอนโดฯเปิดขายใหม่ในจังหวัดภูเก็ตรวม 35,501 หน่วย ขณะที่ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 นี้ มีซัปพลายคอนโดฯเปิดขายใหม่มากถึง 12 โครงการ 3,338 หน่วย ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 25,059 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 10% ของหน่วยคอนโดฯที่เปิดขายตลอดช่วง 10 ที่ผ่านมาเลยทีเดียว
สำหรับโครงการที่เข้ามาลงทุนโครงการใหม่ในช่วงไตรมาสแรก ส่วนใหญ่เป็นบริษัทอสังหาฯรายใหญ่ ทั้งจากกรุงเทพมหานคร และ ผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ ซึ่งพากันเปิดตัวโครงการใหม่กันอย่างคึกคัก เช่นบมจ.แสนสิริ, บมจ.แอสเซทไวส์, บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, บจ.บริษัทฮาบิแทท กรุ๊ป และ บริษัท CG Capital จำกัด เปิดตัวโครงการใหม่ โดยใช้ชื่อว่า The Standard Residences, Phuket Bang Tao (เดอะสแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา) มูลค่าโครงการมากกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งปกติแล้วคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในแต่ละปีในจังหวัดภูเก็ตมีเพียงแค่ปีละประมาณ 2,000-3,000 ยูนิตต่อปีเท่านั้น เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก บวกกับการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนเป็นเสมือนแรงผลักดันที่สำคัญให้ตลาดคอนโด มิเนียมในจังหวัดภูเก็ตมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งคาดการณ์ว่าสำหรับในปี 2567 อาจมีคอนโดฯเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดอีกกว่า 8,500 ยูนิต
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2567 พบว่าในพื้นที่เกาะภูเก็ตมีอุปทานคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายในตลาดทั้งหมด 87 โครงการด้วยยูนิตขายทั้งหมด 25,591 ยูนิต ขายไปแล้ว 16,905 ยูนิตหรือคิด เป็น 66.05% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ผ่านมา 0.25% และมีหน่วยขายรอการระบายทั้งหมด 8,686 ยูนิต คิดเป็น 33.95% และพบว่าผู้พัฒนาส่วนใหญ่ให้ความสนใจพัฒนาโครงการในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของจังหวัดภูเก็ตมากที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่ บางเทา เชิงทะเล พื้นที่โดยรอบ ลากูน่า และกมลา เป็นต้น และส่วนใหญ่เป็นรูปแบบ 1 ห้องนอนที่ สัดส่วน 53.97% และพื้นที่ขนาด 31-50 ตารางเมตรที่สัดส่วน 48.63% และช่วงราคา 3.0-5.0 พบว่ามีสัดส่วนที่สูงสุดคิดเป็น 31.69%
นายภัทรชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ "คอลลิเออร์ส" ยังพบว่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพมหานครจำนวนมากมองเห็นโอกาสการลงทุนเข้าไปเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมาก และหลายโครงการสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่เกาะภูเก็ตในปีที่ผ่านมาคึกคักเป็นอย่างมาก มีอัตราการดูดซับเฉลี่ยต่อเดือนที่สูงถึง 5.80% และพบว่าคอนโดมิเนียมในเกาะภูเก็ตในช่วงราคา 3.0-5.0 ล้านบาทต่อยูนิตมีอัตราการดูดซับเฉลี่ยต่อเดือนสูงถึง 6.50%
สำหรับซัปพลายเปิดขายใหม่ของบ้านพักตากอากาศในพื้นที่ จังหวัดภูเก็ต ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2567 เติบโตแบบก้าวกระโดด เช่นกัน โดยพบว่ามีอุปทานเปิดขายใหม่ของบ้านพักตากอากาศมาก ถึง 10 โครงการ จำนวน 237 ยูนิต ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 9,500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นอุปทานเปิดขายใหม่ที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันของในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของเกาะ โดยเฉพาะทำเลย่านบางเทา เชิงทะเล และพื้นที่โดยรอบลากูน่า เป็นต้น
"ทำเลย่านบางเทา และเชิงทะเลในปีที่ผ่านมา ผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ เช่น บมจ.ลากูน่า รีสอร์ท แอนด์ โฮเท็ล รวมถึงผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพมหานคร เช่น บมจ.แสนสิริ, บมจ.แอสเซทไวส์, บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, บจ. ฮาบิแทท กรุ๊ป รวมถึง บมจ. ไซมิส แอสเสท ให้ความสนใจเข้าไปพัฒนาโครงการบ้านพักตากอากาศบนทำเลย่านนี้เป็นครั้งแรกและหลายโครงการได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกำลังซื้อรัสเซีย" นายภัทรชัยกล่าว
สำหรับภาพรวมตลาดบ้านพักตากอากาศในพื้นที่เกาะภูเก็ต ณ สิ้นไตรมาสแรกปี2567 มีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 117 โครงการด้วยยูนิตขายทั้งหมด 2,545 ยูนิต และสามารถขายออกไปแล้ว 1,220 ยูนิต เหลือยูนิตรอการขาย 1,382 ยูนิต โดยพบ 98% เป็นประเภทบ้านเดี่ยว และอยู่ในช่วงราคาต่ำกว่า 30 ล้านบาท 39.89% ตามมาด้วยในช่วงระดับราคา 30-50 ล้านบาท 41.10% และช่วงระดับราคา 30-50 ล้าน บาท 37.09% และพบว่ามากกว่า 46.07% เป็นรูปแบบ 3 ห้องนอนและมีขนาดพื้นที่ใช้สอยในช่วง 300-500 ตารางเมตร
ทั้งนี้ ตลาดบ้านพักตากอากาศในช่วงไตรมาสแรกปี 2567 ได้รับความสนใจจากกำลังซื้อต่างชาติเป็นอย่างมาก รวมถึงกลุ่มลูกค้าคนไทยทั้งจากกรุงเทพมหานครและคนไทยในพื้นที่ ลูกค้าจากประเทศกลุ่ม ยุโรป เช่น เยอรมนี เดนมาร์ก และกำลังซื้อจากชาติในกลุ่มเอเชีย เช่น จีน ฮ่องกง และ สิงคโปร์ ฯ
นายภัทรชัย กล่าวว่า "คอลลิเออร์ส" ยังพบอีกว่าโครงการบ้านพักตากอากาศหลายโครงการสามารถปิดยอดการขายได้มากกว่า 80% เพียงแค่ในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากการเปิดขายเท่านั้น และส่วนใหญ่ ถูกเหมาซื้อไปโดยกำลังซื้อต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ารัสเซีย ทั้งที่ซื้อเพื่อการลงทุนและการอยู่อาศัย
สำหรับตลาดบ้านพักตากอากาศและตลาดคอนโดฯในพื้นที่เกาะภูเก็ตจะยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่อง โดยผู้พัฒนารายใหญ่ทั้งจากกรุงเทพมหานครและผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ยังคงมองเห็นโอกาสการลงทุนเปิดตัวโครงการใหม่ ซึ่งพบว่า Branded Resi dence โครงการใหญ่ เช่นโครงการ The Stan dard Residences Phuket Bangtao รวมถึงผู้พัฒนารายใหญ่อีกเป็นจำนวนมากต่างรอการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างคึกคักในปีนี้ โดยเฉพาะทำเลย่าน บางเทา เชิงทะเล พื้นที่โดยรอบลากูน่า และกมลา ถือว่าเป็นทำเลที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาของตลาดคอนโดฯและบ้านพักตากอากาศภูเก็ต โดยทำเลดังกล่าวส่วนใหญ่เน้นการขายแบบการันตีค่าเช่าโดยมีทั้ง 5% 3 ปี หรือ 7% 3 ปี แตกต่างกันไป ซึ่งส่วนใหญ่ทุกโครงการ มียอดขายในส่วนของต่างชาติ 49% ค่อนข้างจะเต็มทุกโครงการ แต่หากมีลูกค้าชาวต่างชาติสนใจเพิ่มเติมก็จะขายแบบเช่าระยะยาวแบบ 30 + 30 + 30 ปี เพื่อเป็นการเปิดโอกาสการขายที่เพิ่มขึ้นสำหรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ
ซัปพลายคอนโดฯทยอยเข้าสู่ตลาดพัทยาอีกครั้ง
นายภัทรชัย กล่าวว่า สำหรับตลาดพัทยา ณ ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาคอนโดฯระดับลักชัวรีกำลังได้รับความสนใจของกลุ่มลูกค้า และมีอัตราการขายที่ค่อนข้างเร็ว ขณะที่ซัปพลายใหม่ทยอยกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง ทั้งในพื้นที่จอมเทียนและใจกลางเมืองพัทยา โดยฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส พบว่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ตลาดคอนโดฯพัทยากลับมาคึกคักอีกครั้ง ซัปพลายเปิดตัวใหม่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาของผู้พัฒนารายใหญ่จากกรุงเทพฯ และผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ เช่น บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ บจ. ริเวียร่า กรุ๊ปเป็นต้น โดยพบว่า ในช่วงไตรมาสแรกของ ปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมาอุปทานเปิดขายใหม่ 3 โครงการ 4,493 ยูนิต ด้วยมูลค่าการลงทุน รวมประมาณ 16,100 ล้านบาท โดยทั้ง 3 โครงการเป็นโครงการขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่จอมเทียน และใจกลางเมืองพัทยา
นับตั้งแต่ครึ่งแรกปี 2554-ไตรมาสแรกปี 2567 มีซัปพลายเปิดขายใหม่ในตลาดคอนโดฯพัทยารวม 112,671 ยูนิต โดยพบว่า ในพื้นที่ย่านจอมเทียนมีการเปิดตัวคอนโด มิเนียมมากที่สุด 44,692 ยูนิต หรือคิดเป็น 39.66% ตามมาด้วยใน พื้นที่เขาพระตำหนัก 21,214 ยูนิต 18.82% และในพื้นที่ใจกลางเมืองพัทยาจำนวน 21,077 ยูนิต 18.70% จากแนวโน้มดังกล่าวคาดว่า ในช่วง 3 ไตรมาสจากนี้ อาจมีซัปพลายคอนโดฯใหม่เข้าสู่ตลาดกว่า 3,000 ยูนิต ซึ่งจะส่งผลให้ซัปพลาย สะสมในพัทยาปรับตัวสูงกว่า 7,000 ยูนิตซึ่งถือว่าเป็นซัปพลายเปิดขายใหม่ที่สูงที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ เช่น บมจ.ออริจิ้น พร็อพ เพอร์ตี้ บมจ.แสนสริ และ บมจ.แอสเซท ไวส์ เป็นต้น ซึ่งผู้พัฒนา ทุกรายอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบโครงการและเตรียมที่จะเปิดตัวโครงการในอนาคตอันใกล้
ทั้งนี้ คอลลิเออร์สฯ พบว่า ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 จากจำนวน ซัปพลายที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด 47,800 ยูนิต สามารถขายออกไปแล้วประมาณ 36,471 ยูนิต คิดเป็น 76.29% เหลือซัปพลายรอการขาย อีก 11,329 ยูนิต คิดเป็น 23.71% โดยพบว่าในพื้นที่ใจกลางเมืองพัทยามีอัตราการขายที่สูงที่สุดที่ 87.28% ตามมาด้วยในพื้นที่จอมเทียน 79.49% และในพื้นที่ย่านนาจอมเทียนที่ 74.12% โดยพบว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมาโครงการคอนโดฯระดับลักชัวรี ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป็นจำนวนมาก หลายโครงการสามารถปิดการขายได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมริมชายหาดทั้งในพื้นที่วงศ์อมาตย์และจอมเทียน เนื่องจากอุปทานคอนโดมิเนียมเหล่านี้ค่อนข้างมีอยู่อย่างจำกัดและมียูนิตรอการขายที่ค่อนข้างน้อย
ดีมานด์คอนโดฯหัวหินยังไปได้ขณะที่ "ชะอำ" ยังล้นรอระบาย
นายภัทรชัย กล่าวว่า สำหรับตลาดคอนโดฯหัวหินยังคงได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าและผู้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมามีอุปทานเปิดขายใหม่ 2 โครงการ 671 ยูนิต ซึ่งถือว่าอุปทานเปิดขายใหม่ที่สูงที่สุดในรอบ 12 ไตรมาส มูลค่าการลงทุน ประมาณ 6,000 ล้านบาท โดยตั้ง 2 โครงการเป็นการพัฒนาของ บมจ. แสนสิริ ซึ่งเป็นผู้พัฒนารายใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ และ 1 ในนั้นคือโครงการ The Standard Residences Hua Hin มูลค่าโครงการ รวม 4,500 ล้านบาท เป็นโครงการ Beachfront branded residences แห่งแรกในเอเชียเปิดตัวเป็นแห่งที่ 3 ของโลก โครงการตั้งอยู่บนไพร์ม โลเกชันบนที่ดินหายากติดหาดหัวหินที่สามารถพัฒนาโครงการใหญ่แบบฟรีโฮลด์ พร้อมกับ Beachfront Pool Villa ในราคายูนิตละ 100 ล้านบาท เพียง 2 ยูนิตเท่านั้น
ทั้งนี้ หากแบ่งซัปพลายเปิดขายใหม่คอนโดฯในพื้นที่หัวหิน ชะอำและปราณบุรี ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2567 พบว่าการเปิดตัวโครงการ คอนโดฯพื้นที่นี้ส่วนใหญ่ยังมีเพียงแค่ในพื้นที่เมืองหัวหิน ทั้งในพื้นที่หัวหินฝั่งทะเลและหัวหินฝั่งภูเขา ซึ่งเป็นทำเลยอดนิยมของกลุ่มลูกค้า โดยในพื้นที่ชะอำไม่พบว่ามีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมมากว่า 7 ปีนับตั้งแต่ในปี 2559 และคาดการณ์ว่าในพื้นที่ชะอำยังคงไม่มีการเปิดตัวโครงการคอนโดฯโครงการใหม่ในเร็วๆ นี้ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าว ยังคงมีซัปพลายสะสมรอการขายอีกเป็นจำนวนมาก และทั้งหมดเป็น ซัปพลายที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และรอการขาย
ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี จากการสำรวจพบว่าซัปพลาย ระหว่างการขายในตลาดมีจำนวนทั้งหมด 15,790 ยูนิต สามารถ ขายได้แล้ว 11,115 ยูนิต คิดเป็น 70.39% และมียูนิตรอการขาย อีกทั้งหมด 4,675 ยูนิตหรือคิดเป็น 29.61% หากจำแนกตามพื้นที่ จะพบว่าพื้นที่หัวหินฝั่งทะเลเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการขายที่สูงที่สุด คิดเป็น 81.92% ตามมาด้วยในพื้นที่หัวหินฝั่งภูเขาคิดเป็น 69.75% สำหรับในพื้นที่ชะอำและปราณบุรีพบว่า อัตราการขายใหม่ค่อนข้าง เป็นไปอย่างช้าๆ และ ยูนิตที่รอการขายทั้งหมดเป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและยังมียูนิตรอการขาย แตกต่าง กับในพื้นที่ใจกลางเมืองหัวหินทั้งในพื้นที่หัวหินฝั่งภูเขาและฝั่งทะเล ที่มีอัตราการขายได้ใหม่ที่ค่อนข้างเร็ว สะท้อนให้เห็นว่าตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่ใจกลางเมืองหัวหินยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับ ความสนใจทั้งจากกลุ่มลูกค้าและผู้พัฒนาที่ยังมองเห็นโอกาสการ พัฒนาเข้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ