DRT ขยับราคามาร์จิ้นฟู 27% ชูอสังหาขยายลงทุนดันธุรกิจ
Loading

DRT ขยับราคามาร์จิ้นฟู 27% ชูอสังหาขยายลงทุนดันธุรกิจ

วันที่ : 9 ตุลาคม 2566
DRT เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 นี้ เชื่อว่าจะมีการปรับตัวที่ดีขึ้นกว่าเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนโดยเฉพาะภาคเอกชนและภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มากขึ้น
          DRT เล็งทยอยปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์บางรายการ เพื่อให้เหมาะสมกับราคาต้นทุนการผลิตที่ขยายตัวขึ้น หวังรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2566 ไว้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 25-27% คงเป้ายอดขายปี 2566 เติบโต 5% มองยอดขายโค้งสุดท้ายปีนี้โดดเด่นหลังเข้าไฮซีซัน ลั่นอสังหาขยายลงทุนโครงการใหม่ดันธุรกิจ

          นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยว่า แม้ว่าในช่วงครึ่งแรกปี 2566 การปรับตัวลดลงของกำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 9% จากเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน หลักๆ เป็นผลมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตและต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่การปรับราคาขายใหม่อาจไม่สามารถขยับเพิ่มขึ้นไม่ได้มากนัก แต่ในปัจจุบันบริษัทได้มีการทยอยปรับขึ้นราคาผลิตภัณฑ์บางรายการขึ้นแล้วเพื่อให้เหมาะสมกับราคาต้นทุนการผลิตที่ขยายตัวขึ้นแล้ว

          คงมาร์จิ้น 25-27%

          ดังนั้นจึงมองว่าจะสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2566 ไว้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 25-27% จากในช่วงครึ่งแรกปี 2566 ที่ระดับ 24.93% บริษัทยังคงเป้ารายได้จากการขายและการบริการรวมเติบโตไม่น้อยกว่า 5% จากปีก่อนที่ระดับ 5,250.05 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 625.61 ล้านบาท ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้บริษัทมีรายได้รวมแล้วอยู่ที่ระดับ 3,071.90 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 344.22 ล้านบาท

          นอกจากนี้ บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการดูแลและบริหารจัดการต้นทุนให้อยู่ในระดับที่ดีและมีความเหมาะสมต่อสถานการณ์และจะไม่ผลักภาระไปยังลูกค้ามากนัก ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตในปัจจุบันอยู่ที่เฉลี่ย 80-90% และคาดว่าทั้งปีจะทรงตัวในระดับเช่นนี้ได้ต่อไป สำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของผลิตภัณฑ์กระเบื้องหลังคาคอนกรีตและกลุ่มผลิตภัณฑ์มวลเบา อาทิ อิฐ คานทับหลัง และเคาน์เตอร์ ปัจจุบัน ทำได้สูงถึง 5% และ 7.3% จากเป้าหมาย 4.5% และ 6.5% ตามลำดับ

          ภาพรวมธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 นี้ เชื่อว่าจะมีการปรับตัวที่ดีขึ้นกว่าเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนโดยเฉพาะภาคเอกชนและภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มากขึ้น ซึ่งสังเกตได้ว่าในช่วงที่ผ่านมามีการขยายโครงการแนวราบที่เพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าจะช่วยสนับสนุนยอดขายบริษัทด้วยเช่นกัน โดยสัดส่วนการขายทั้งปี 2566 กลุ่มงานโครงการจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 15% ของยอดขายรวม

          ยอดโค้งสามทรงตัวดี

          และคาดว่ายอดขายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 คาดว่าจะดีกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หลักๆ เป็นผลมาจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจ เป็นช่วงที่กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีการเปิดตัวโครงการใหม่ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับไตรมาสอื่นๆ รวมถึงเข้าสู่ฤดูของการปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ทำให้คาดว่าจะช่วงผลักดันยอดขายในช่องทางโมเดิร์นเทรดจะมีการเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้นเช่นเดียวกัน

          คาดการณ์ยอดขายในช่วงไตรมาส 3/2566 ทรงตัวใกล้เคียงหรือดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้จากการขายและการบริการรวมอยู่ที่ระดับ 1,516.30 ล้านบาท แม้ว่าตามปกติแล้วในช่วงไตรมาส 3 ของทุกปีจะเป็นโลว์ซีซันของธุรกิจ ตามปัจจัยการเข้าสู่ฤดูฝนที่ทำเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานก่อสร้าง แม้ว่าในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมอาจลดลงเล็กน้อย แต่ในช่วงเดือนกันยายน 2566 เริ่มกลับมามีสัญญาณที่เป็นบวกมากขึ้นแล้ว

          อย่างไรก็ดี มองว่าจากการที่ประเทศไทยได้รับความชัดเจนจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่แล้ว คาดว่าจะเข้ามาช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนให้กับภาคเอกชนและต่างชาติได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้อาจต้องให้ระยะเวลาให้รัฐบาลชุดใหม่ได้ดำเนินการขับเคลื่อนตามนโยบายไปอีกระยะหนึ่งจึงจะได้เห็นความชัดเจน แต่คาดหวังว่าการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2567 จะปรับตัวดีขึ้นกว่าปีนี้
ข่าววัสดุก่อสร้าง-เฟอร์นิเจอร์ อื่นๆ