แสนสิริ รุกเมืองรอง ผุดโรงแรม บังค์เฮาส์ รองรับท่องเที่ยวฟื้น
วันที่ : 21 กรกฎาคม 2565
เราเห็นโอกาสขยายการลงทุนในไทยที่เป็นเดสติเนชั่นการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากต่างชาติ ซึ่งแผนธุรกิจที่สอดกับแนวคิดขยายธุรกิจท่องเที่ยวไทยไปไกลกว่าหัวเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ต สมุย หัวหิน กรุงเทพฯ เชียงใหม่
"แสนสิริ" สบช่อง ท่องเที่ยวทั่วโลกเริ่มฟื้นตัว ลุยธุรกิจโรงแรม ผุดแบรนด์"บังค์เฮาส์"ในเครือโรงแรม เดอะ สแตนดาร์ด จับมือแลนด์ลอร์ด-เจ้าของโรงแรมขนาดไม่เกิน100 ห้อง เจาะเมืองรอง คาด 2 ปี เปิด 6 แห่ง ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่นิยมพักบูทีค โฮเทล
หลังผ่านพ้นห้วงวิกฤติโควิดหนักสุด สถานการณ์โดยรวมทั่วโลกดีขึ้นนับจากนี้ เป็นจังหวะและโอกาสสำคัญในการเดินหน้า ธุรกิจโรงแรมรับดีมานด์นักท่องเที่ยวที่ เข้ามาหลังปลดล็อกไทยแลนด์ พาส เพราะ การท่องเที่ยว ขับเคลื่อนจีดีพีหลักของประเทศและเกิด Multiplier effect จากการจ้างงานพนักงานโรงแรมและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานกรรมการ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทแม่ของเครือโรงแรม เดอะ สแตนดาร์ด และ ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์ธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลกกำลังกลับมาจากการ ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ หลังโควิดเริ่มคลี่คลาย รวมทั้งนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวและ เศรษฐกิจ ทำให้แนวโน้มความเชื่อมั่นของ นักท่องเที่ยวเริ่มฟื้นกลับโดยเฉพาะตลาดสหรัฐ และยุโรป เติบโตสูงขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดสถานการณ์ ถือเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจโรงแรม
"เราเห็นโอกาสขยายการลงทุนในไทยที่เป็นเดสติเนชั่นการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากต่างชาติ ซึ่งแผนธุรกิจที่สอดกับแนวคิดขยายธุรกิจท่องเที่ยวไทยไปไกลกว่าหัวเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ต สมุย หัวหิน กรุงเทพฯ เชียงใหม่ แต่ไปที่อยุธยา สุโขทัย ระยอง ชุมพร เหมือนคนไปฝรั่งเศส สเปน อิตาลี อังกฤษ อยู่เป็น10 วัน ขณะที่มาเที่ยวเมืองไทยอยู่ 3-4 วัน หมายความว่าต้องขยายการท่องเที่ยวไปในจังหวัดต่างๆมากขึ้น"
โมเดลโรงแรมใหม่เจาะเมืองรอง
นั่นเป็นที่มาของแนวคิดในการเปิดตลาด แบรนด์ "บังค์เฮาส์" (Bunkhouse) โรงแรม ขนาดเล็ก 30 -100 ห้อง ในเครือเดอะ สแตนดาร์ด ในรูปแบบการร่วมมือกับแลนด์ลอร์ด หรือ โรงแรมขนาดไม่เกิน 100 ห้อง โดยจะเบ่งเป็น 2 โมเดล โมเดลแรกภายใต้แบรนด์ เดอะ เซนท์ คอลเล็กชั่น ลักซ์ชัวรี่ โฮเต็ล เลือกที่มีประวัติศาสตร์ ความเป็นมาน่าสนใจหรือสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดี โดยเลือกทำเล เช่น ย่านเจริญกรุง เมืองเก่า สุขุมวิท และ โมเดลที่สอง จะเป็นชื่อโรงแรมตามโลเคชั่นนั้น บายบังค์เฮาส์ เป็นธุรกิจโรงแรมแบบ Bespoke ที่สร้างโรงแรมที่ไม่เหมือนใครในแบบของคุณเอง (one-of-a-kind)
"รูปแบบการลงทุนไม่ใช่การซื้อโรงแรม แต่อาจมีเงินมาช่วยบ้าง และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงร่วมกัน ในจังหวัดที่มีจุดแข็งวัฒนธรรมทีมีเอกลักษณ์เฉพาะจังหวัดที่เป็นหัวเมืองรอง ที่มีศักยภาพ ดีไซน์โดยใช้วัสดุที่ไม่ฟุ่มเฟื่อยเน้นดีไซน์แต่ใช้เงินน้อยคาด ภายใน 2 ปีเปิด 6 แห่ง ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่นิยมพักบูทีค โฮเทล"
ปัจจุบัน โรงแรมภายใต้แบรนด์ "บังค์เฮาส์" เปิด 9 แห่ง โดย 7 แห่งอยู่ในรัฐเท็กซัส (5 แห่งในเมืองออสติน) ที่เหลืออยู่เม็กซิโก เน้นการสร้างประสบการณ์ ให้กับลูกค้าที่เข้ามาพักได้จดจำ และเกิดความประทับใจ โดยเน้นเปิดตัวในทำเลที่มีความแข็งแรงด้านวัฒนธรรม และผสมผสานแบรนด์กับทำเลนั้นๆ ได้อย่างลงตัว มีความโดดเด่นเฉพาะตัว ชื่อจะไม่เหมือนกัน เพื่อสร้างคอนเซ็ปต์ที่มีความเฉพาะตัว มีสเกลไม่ใหญ่ 20-100 ห้อง เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ด้วยการทำงานร่วมกับอินเตอร์เชนได้ ตั้งแต่ระดับ ลักชัวรี 3-4 ดาวไปจนถึงโรงแรมรายวัน ระดับราคาห้องพักเริ่มตั้งแต่ 6,000-20,000 บาท
รับบริหารโรงแรมร่วมเจ้าของที่ดิน
นายเศรษฐา มองว่า ช่วงเวลานี้เป็นจังหวะที่ดี ในการเข้ามาช่วยผู้ประกอบการโรงแรมที่ต้องปรับโฉม รีสตาร์ทด้วยแบรนด์ใหม่"บังค์เฮาส์" ด้วยการเข้าไปบริหาร ซึ่งแต่ละแห่งแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการเจรจา ทำให้เจ้าของที่ดินหรือโรงแรม ได้ทำตลาดแบรนด์ระดับอินเตอร์ ทำเลน่าสนใจ อาทิ อยุธยา เชียงราย เชียงใหม่ น่าน ระยอง ระนอง ชุมพร กระบี่ หัวหิน พัทยา
"เป็นการเข้าไปช่วยผู้ประกอบการที่ขาดสภาพคล่อง ต้องการแบรนด์ระดับโลกเข้าไปช่วย รวมการทำตลาดที่มีเครือข่ายระดับโลกเข้าสนับสนุนเพื่อดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่สำคัญด้วยเครือข่ายของเดอะ สแตนดาร์ด ทำให้มีไดเร็ค บุ๊คกิ้งถึง55% หมายความว่าลูกค้าสามารถจองโดยตรงไม่ต้องเสียคอมมิสชั่นให้กับระบบการจองต่างๆ เจ้าของได้รับเงินเต็มเม็ดเต็มหน่วย"
เตรียมเปิดตัวสแตนดาร์ด มหานคร
ในส่วนของโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน ที่เปิดเมื่อเดือน พ.ย.2564 พบว่าได้ผลการตอบรับดีมากอัตราเข้าพักเฉลี่ย 80% สูงสุดนับตั้งแต่เปิดโรงแรมมา ส่วนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เต็ม โดยอัตราการเข้าพักสูงกว่าคู่แข่ง 10% และสามารถทำราคาได้ระดับ 6,000-9,000 บาท/ห้อง/คืน ส่วนวิลล่า 12,000 -13,000 บาท
ส่วนโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร ขนาด 155 ห้องพัก แห่งที่ 2 ในไทย เตรียมเปิดบริการวันที่ 29 ก.ค. นับเป็นโรงแรมระดับเรือธง(Flagship) ของแบรนด์ เดอะ สแตนดาร์ด ในเอเชีย โดยได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ คิง เพาเวอร์ กรุ๊ป ในการนำแบรนด์ดังกล่าวมาเสริม ความโดดเด่นแก่อาคารคิง เพาเวอร์ มหานครคาดมีลูกค้าหลักเป็นนักท่องเที่ยวยุโรปและสหรัฐ
"เราหวังว่าจะเป็นการเปิดตัวโรงแรม ที่ใหญ่ที่สุดในโลกหลังจากช่วงโควิดการเปิดตัวโรงแรมน้อย หลายองค์ประกอบทำให้โรงแรมนี้ โดดเด่น"
ตั้งเป้า3 ปีเดอะ สแตนดาร์ด20แห่ง
ส่วนแผนปีหน้าจะเปิดโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ดที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย และสิงคโปร์จำนวน 150 ห้อง และใน 2-3 ปี จะมีโรงแรม 20 แห่ง อาทิ เมืองดับลิน บรัสเซลส์ มิลาน และลิสบอน ขณะที่แถบอเมริกาเหนือ จะมีที่โทรอนโต แคนาดา และฮูสตัน สหรัฐ เป็นต้น ซึ่งเป็นการกระจายไปยังหลายพื้นที่ทั่วโลก
ขณะเดียวกันยังมีแบรนด์ "เดอะ เภรี โฮเต็ล" เป็นแบรนด์โรงแรมสไตล์บูติกโฮเทล ปัจจุบันเปิดให้บริการในไทยแล้ว 2 แห่ง ที่หัวหิน และเขาใหญ่ มีอัตราการเข้าพักดีมากจากลูกค้า คนไทย และเตรียมเปิดเดอะ เภรี โฮเต็ล แบงค็อก สุขุมวิท 24 ขนาด 200 ห้องขึ้นไปในอีก 2 ปีข้างหน้า
"ศักยภาพของไทยไม่ด้อยกับประเทศอื่น เพียงแต่ว่าเรายังไม่สามารถไปถึงศักยภาพที่มี อยู่ได้ เดอะ สแตนดาร์ด กรุ๊ป และแสนสิริ พยายามเป็นกลไกหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งการที่ ค่าเงินบาทอ่อน มีการเปิดประเทศ ฉะนั้น การท่องเที่ยวถือเป็น growth engines ที่สำคัญในระยะ 3-9 เดือนข้างหน้า"
ทั้งนี้สำหรับ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล แสนสิริ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 62%
หลังผ่านพ้นห้วงวิกฤติโควิดหนักสุด สถานการณ์โดยรวมทั่วโลกดีขึ้นนับจากนี้ เป็นจังหวะและโอกาสสำคัญในการเดินหน้า ธุรกิจโรงแรมรับดีมานด์นักท่องเที่ยวที่ เข้ามาหลังปลดล็อกไทยแลนด์ พาส เพราะ การท่องเที่ยว ขับเคลื่อนจีดีพีหลักของประเทศและเกิด Multiplier effect จากการจ้างงานพนักงานโรงแรมและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานกรรมการ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัทแม่ของเครือโรงแรม เดอะ สแตนดาร์ด และ ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์ธุรกิจท่องเที่ยวทั่วโลกกำลังกลับมาจากการ ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ หลังโควิดเริ่มคลี่คลาย รวมทั้งนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวและ เศรษฐกิจ ทำให้แนวโน้มความเชื่อมั่นของ นักท่องเที่ยวเริ่มฟื้นกลับโดยเฉพาะตลาดสหรัฐ และยุโรป เติบโตสูงขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดสถานการณ์ ถือเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจโรงแรม
"เราเห็นโอกาสขยายการลงทุนในไทยที่เป็นเดสติเนชั่นการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากต่างชาติ ซึ่งแผนธุรกิจที่สอดกับแนวคิดขยายธุรกิจท่องเที่ยวไทยไปไกลกว่าหัวเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างภูเก็ต สมุย หัวหิน กรุงเทพฯ เชียงใหม่ แต่ไปที่อยุธยา สุโขทัย ระยอง ชุมพร เหมือนคนไปฝรั่งเศส สเปน อิตาลี อังกฤษ อยู่เป็น10 วัน ขณะที่มาเที่ยวเมืองไทยอยู่ 3-4 วัน หมายความว่าต้องขยายการท่องเที่ยวไปในจังหวัดต่างๆมากขึ้น"
โมเดลโรงแรมใหม่เจาะเมืองรอง
นั่นเป็นที่มาของแนวคิดในการเปิดตลาด แบรนด์ "บังค์เฮาส์" (Bunkhouse) โรงแรม ขนาดเล็ก 30 -100 ห้อง ในเครือเดอะ สแตนดาร์ด ในรูปแบบการร่วมมือกับแลนด์ลอร์ด หรือ โรงแรมขนาดไม่เกิน 100 ห้อง โดยจะเบ่งเป็น 2 โมเดล โมเดลแรกภายใต้แบรนด์ เดอะ เซนท์ คอลเล็กชั่น ลักซ์ชัวรี่ โฮเต็ล เลือกที่มีประวัติศาสตร์ ความเป็นมาน่าสนใจหรือสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดี โดยเลือกทำเล เช่น ย่านเจริญกรุง เมืองเก่า สุขุมวิท และ โมเดลที่สอง จะเป็นชื่อโรงแรมตามโลเคชั่นนั้น บายบังค์เฮาส์ เป็นธุรกิจโรงแรมแบบ Bespoke ที่สร้างโรงแรมที่ไม่เหมือนใครในแบบของคุณเอง (one-of-a-kind)
"รูปแบบการลงทุนไม่ใช่การซื้อโรงแรม แต่อาจมีเงินมาช่วยบ้าง และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงร่วมกัน ในจังหวัดที่มีจุดแข็งวัฒนธรรมทีมีเอกลักษณ์เฉพาะจังหวัดที่เป็นหัวเมืองรอง ที่มีศักยภาพ ดีไซน์โดยใช้วัสดุที่ไม่ฟุ่มเฟื่อยเน้นดีไซน์แต่ใช้เงินน้อยคาด ภายใน 2 ปีเปิด 6 แห่ง ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่นิยมพักบูทีค โฮเทล"
ปัจจุบัน โรงแรมภายใต้แบรนด์ "บังค์เฮาส์" เปิด 9 แห่ง โดย 7 แห่งอยู่ในรัฐเท็กซัส (5 แห่งในเมืองออสติน) ที่เหลืออยู่เม็กซิโก เน้นการสร้างประสบการณ์ ให้กับลูกค้าที่เข้ามาพักได้จดจำ และเกิดความประทับใจ โดยเน้นเปิดตัวในทำเลที่มีความแข็งแรงด้านวัฒนธรรม และผสมผสานแบรนด์กับทำเลนั้นๆ ได้อย่างลงตัว มีความโดดเด่นเฉพาะตัว ชื่อจะไม่เหมือนกัน เพื่อสร้างคอนเซ็ปต์ที่มีความเฉพาะตัว มีสเกลไม่ใหญ่ 20-100 ห้อง เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ด้วยการทำงานร่วมกับอินเตอร์เชนได้ ตั้งแต่ระดับ ลักชัวรี 3-4 ดาวไปจนถึงโรงแรมรายวัน ระดับราคาห้องพักเริ่มตั้งแต่ 6,000-20,000 บาท
รับบริหารโรงแรมร่วมเจ้าของที่ดิน
นายเศรษฐา มองว่า ช่วงเวลานี้เป็นจังหวะที่ดี ในการเข้ามาช่วยผู้ประกอบการโรงแรมที่ต้องปรับโฉม รีสตาร์ทด้วยแบรนด์ใหม่"บังค์เฮาส์" ด้วยการเข้าไปบริหาร ซึ่งแต่ละแห่งแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการเจรจา ทำให้เจ้าของที่ดินหรือโรงแรม ได้ทำตลาดแบรนด์ระดับอินเตอร์ ทำเลน่าสนใจ อาทิ อยุธยา เชียงราย เชียงใหม่ น่าน ระยอง ระนอง ชุมพร กระบี่ หัวหิน พัทยา
"เป็นการเข้าไปช่วยผู้ประกอบการที่ขาดสภาพคล่อง ต้องการแบรนด์ระดับโลกเข้าไปช่วย รวมการทำตลาดที่มีเครือข่ายระดับโลกเข้าสนับสนุนเพื่อดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่สำคัญด้วยเครือข่ายของเดอะ สแตนดาร์ด ทำให้มีไดเร็ค บุ๊คกิ้งถึง55% หมายความว่าลูกค้าสามารถจองโดยตรงไม่ต้องเสียคอมมิสชั่นให้กับระบบการจองต่างๆ เจ้าของได้รับเงินเต็มเม็ดเต็มหน่วย"
เตรียมเปิดตัวสแตนดาร์ด มหานคร
ในส่วนของโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน ที่เปิดเมื่อเดือน พ.ย.2564 พบว่าได้ผลการตอบรับดีมากอัตราเข้าพักเฉลี่ย 80% สูงสุดนับตั้งแต่เปิดโรงแรมมา ส่วนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เต็ม โดยอัตราการเข้าพักสูงกว่าคู่แข่ง 10% และสามารถทำราคาได้ระดับ 6,000-9,000 บาท/ห้อง/คืน ส่วนวิลล่า 12,000 -13,000 บาท
ส่วนโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร ขนาด 155 ห้องพัก แห่งที่ 2 ในไทย เตรียมเปิดบริการวันที่ 29 ก.ค. นับเป็นโรงแรมระดับเรือธง(Flagship) ของแบรนด์ เดอะ สแตนดาร์ด ในเอเชีย โดยได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ คิง เพาเวอร์ กรุ๊ป ในการนำแบรนด์ดังกล่าวมาเสริม ความโดดเด่นแก่อาคารคิง เพาเวอร์ มหานครคาดมีลูกค้าหลักเป็นนักท่องเที่ยวยุโรปและสหรัฐ
"เราหวังว่าจะเป็นการเปิดตัวโรงแรม ที่ใหญ่ที่สุดในโลกหลังจากช่วงโควิดการเปิดตัวโรงแรมน้อย หลายองค์ประกอบทำให้โรงแรมนี้ โดดเด่น"
ตั้งเป้า3 ปีเดอะ สแตนดาร์ด20แห่ง
ส่วนแผนปีหน้าจะเปิดโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ดที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย และสิงคโปร์จำนวน 150 ห้อง และใน 2-3 ปี จะมีโรงแรม 20 แห่ง อาทิ เมืองดับลิน บรัสเซลส์ มิลาน และลิสบอน ขณะที่แถบอเมริกาเหนือ จะมีที่โทรอนโต แคนาดา และฮูสตัน สหรัฐ เป็นต้น ซึ่งเป็นการกระจายไปยังหลายพื้นที่ทั่วโลก
ขณะเดียวกันยังมีแบรนด์ "เดอะ เภรี โฮเต็ล" เป็นแบรนด์โรงแรมสไตล์บูติกโฮเทล ปัจจุบันเปิดให้บริการในไทยแล้ว 2 แห่ง ที่หัวหิน และเขาใหญ่ มีอัตราการเข้าพักดีมากจากลูกค้า คนไทย และเตรียมเปิดเดอะ เภรี โฮเต็ล แบงค็อก สุขุมวิท 24 ขนาด 200 ห้องขึ้นไปในอีก 2 ปีข้างหน้า
"ศักยภาพของไทยไม่ด้อยกับประเทศอื่น เพียงแต่ว่าเรายังไม่สามารถไปถึงศักยภาพที่มี อยู่ได้ เดอะ สแตนดาร์ด กรุ๊ป และแสนสิริ พยายามเป็นกลไกหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยและอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ซึ่งการที่ ค่าเงินบาทอ่อน มีการเปิดประเทศ ฉะนั้น การท่องเที่ยวถือเป็น growth engines ที่สำคัญในระยะ 3-9 เดือนข้างหน้า"
ทั้งนี้สำหรับ สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล แสนสิริ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 62%
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ