ไอริสกรุ๊ป เบรกลงทุนคอนโดหันรุกแนวราบ-ระบายสต็อก
วันที่ : 18 กุมภาพันธ์ 2563
"ไอริส กรุ๊ป" ระบุภาพรวม เศรษฐกิจไม่ดี เร่งระบายสต็อก 3 โครงการเก่าเบรกลงทุนคอนโด หันรุกทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด 2 โครงการ หวังดันยอดรับรู้รายได้ ปีนี้ 1,000 ล้านบาท หลังปีก่อนพลาดเป้า 50% พร้อมพับแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ รอเศรษฐกิจฟื้นตัว
"ไอริส กรุ๊ป" ระบุภาพรวม เศรษฐกิจไม่ดี เร่งระบายสต็อก 3 โครงการเก่าเบรกลงทุนคอนโด หันรุกทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด 2 โครงการ หวังดันยอดรับรู้รายได้ ปีนี้ 1,000 ล้านบาท หลังปีก่อนพลาดเป้า 50% พร้อมพับแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ รอเศรษฐกิจฟื้นตัว
นายกิตติพงษ์ สุมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอริส กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจปี2563 ส่วนหนึ่งเพราะได้รับผลกระทบจาก การแพร่ระบาดของไวรัส โคโรนา (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ โดยเฉพาะ กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติหายไปตั้งแต่ ปีที่แล้ว รวมทั้งกำลังซื้อในประเทศที่ คนไม่มีอารมณ์ซื้อ ทำให้ตลาดอสังหาฯ ปีนี้ยังไม่ฟื้นตัว
จากสภาพเศรษฐกิจดังกล่าว บริษัทจึงต้องเร่งระบายสต็อกจาก3 โครงการที่มีอยู่ ทั้งโครงการแนวราบ และคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ IRIS WESGATE จำนวน 150 ยูนิต มูลค่า220 ล้านบาท บางใหญ่ IRIS PARK จำนวน 180 ยูนิต มูลค่า700 ล้านบาท และ IDEN สุขุมวิท 101 ที่เหลือขาย คิดเป็นมูลค่า 700 ล้านบาท รวมมูลค่า 1 ,620 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกระแสเงินสดเข้ามาในบริษัท และเบรกการลงทุนคอนโดมิเนียม
ขณะเดียวกันปีนี้ บริษัทหันมารุกตลาดแนวราบที่ทำเลที่มีกำลังซื้อ จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการแรก IDEN เกษตรฯ-พหลโยธิน ปลาเค้า 71 มูลค่า 1,400 ล้านบาท จำนวน 117 ยูนิต แบ่งเป็นทาวน์เฮ้าส์ 85 ยูนิต ราคาตั้งแต่ 8.59-14 ล้านบาท และบ้านแฝดจำนวน 32 ยูนิตราคา15-20 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดขายภายในเดือนมี.ค.นี้
ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นทำเลที่มีศักยภาพในการเป็นที่พักอาศัย มีหมู่บ้านอยู่หลายโครงการ รวมถึงตึกแถว และหลังจากที่มีรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (หมอชิตคูคต) เข้ามาถึง ก็ยังเป็นปัจจัยที่ดึงดูด ดีเวลลอปเปอร์ทั้งรายเล็กรายใหญ่ เข้ามาลงทุนเพราะทำเลที่ใกล้มหาวิทยาลัย อาทิ มหาลัยวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยศรีปทุม และใกล้ศูนย์การค้า เมเจอร์ รัชโยธิน, เซ็นทรัลลาดพร้าว และหน่วยงานราชการต่างๆ
"กลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่ม คนรุ่นใหม่ที่นิยมประกอบอาชีพอิสระ เช่น ขายสินค้าออนไลน์ สตารท์อัพ และกลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีไอทีต่างๆ ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและมีกำลังซื้อ ที่ต้องการบ้านพักอาศัยที่ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ใกล้เคียงกับ บ้านเดี่ยวไม่ใช่คอนโด"
ส่วนโครงการสองที่เปิดในปีนี้ ชื่อโครงการ Icopehn by IRIS บนพื้นที่ 16 ไร่ ถนนสุขุมวิท76 เป็นโครงการ ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น จำนวน 200 ยูนิต ระดับราคาเฉลี่ย 3 ล้านบาท มูลค่ารวม 800 ล้านบาท คาดว่า จะสามารถเปิดตัวโครงการช่วงครึ่งปีหลัง และสิ้นปีนี้ บริษัทจะมียอดรับรู้รายได้ 1,000 ล้านบาท มาจากการขายโครงการเดิม 500 ล้านบาท และโครงการใหม่ 500 ล้านบาท ถือว่าเติบโตจากปีก่อน ที่ยอดขายพลาดเป้าถึง 50%
ทั้งนี้ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ ชะลอตัว กระทบต่อกำลังซื้อและอารมณ์ ซื้อของผู้บริโภค ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ปีนี้บริษัทพยายามที่จะกระตุ้นตลาด และสร้างการรับรู้โครงการของบริษัทให้เป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น ในทุกรูปแบบ
นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีที่ดินสะสมรอการพัฒนาในต่างจังหวัดอีก 4 แปลงอยู่ในกรุงเทพฯ 2 แปลง ย่านพระราม 9 และตลิ่งชัน ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และสายสีแดง ตั้งอยู่บน พื้นที่ 3 ไร่ ซึ่งมีแผนพัฒนาในรูปแบบ แนวราบแต่ยังไม่สามารถเปิดข้อมูล ได้ส่วนอีก 2 แปลงอยู่ในต่างจังหวัด ใน จ.ชลบุรี จำนวน 21 ไร่ มีแผนจะพัฒนาโครงการแนวราบ และระยอง บริเวณหาดพลา จำนวน 34 ไร่ มีแผนจะพัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูส และโครงการบ้านสำหรับผู้สูงวัย หากนำมาพัฒนาโครงการคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 5,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังสนใจที่จะร่วมทุนกับกลุ่มทุนต่างชาติเพื่อพัฒนาโครงการร่วมกันด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาอยู่ 2 ประเทศ คือจีน และญี่ปุ่น แต่คงไม่ใช่ในปีนี้ เช่นเดียวกับแผนที่จะนำบริษัทฯเข้า จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ต้องรอให้สภาพเศรษฐกิจฟื้นตัวก่อนถึงจะดำเนินการต่ออีกครั้ง
นายกิตติพงษ์ สุมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอริส กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า จากภาพรวมเศรษฐกิจปี2563 ส่วนหนึ่งเพราะได้รับผลกระทบจาก การแพร่ระบาดของไวรัส โคโรนา (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ โดยเฉพาะ กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติหายไปตั้งแต่ ปีที่แล้ว รวมทั้งกำลังซื้อในประเทศที่ คนไม่มีอารมณ์ซื้อ ทำให้ตลาดอสังหาฯ ปีนี้ยังไม่ฟื้นตัว
จากสภาพเศรษฐกิจดังกล่าว บริษัทจึงต้องเร่งระบายสต็อกจาก3 โครงการที่มีอยู่ ทั้งโครงการแนวราบ และคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ IRIS WESGATE จำนวน 150 ยูนิต มูลค่า220 ล้านบาท บางใหญ่ IRIS PARK จำนวน 180 ยูนิต มูลค่า700 ล้านบาท และ IDEN สุขุมวิท 101 ที่เหลือขาย คิดเป็นมูลค่า 700 ล้านบาท รวมมูลค่า 1 ,620 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกระแสเงินสดเข้ามาในบริษัท และเบรกการลงทุนคอนโดมิเนียม
ขณะเดียวกันปีนี้ บริษัทหันมารุกตลาดแนวราบที่ทำเลที่มีกำลังซื้อ จำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการแรก IDEN เกษตรฯ-พหลโยธิน ปลาเค้า 71 มูลค่า 1,400 ล้านบาท จำนวน 117 ยูนิต แบ่งเป็นทาวน์เฮ้าส์ 85 ยูนิต ราคาตั้งแต่ 8.59-14 ล้านบาท และบ้านแฝดจำนวน 32 ยูนิตราคา15-20 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดขายภายในเดือนมี.ค.นี้
ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นทำเลที่มีศักยภาพในการเป็นที่พักอาศัย มีหมู่บ้านอยู่หลายโครงการ รวมถึงตึกแถว และหลังจากที่มีรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (หมอชิตคูคต) เข้ามาถึง ก็ยังเป็นปัจจัยที่ดึงดูด ดีเวลลอปเปอร์ทั้งรายเล็กรายใหญ่ เข้ามาลงทุนเพราะทำเลที่ใกล้มหาวิทยาลัย อาทิ มหาลัยวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยศรีปทุม และใกล้ศูนย์การค้า เมเจอร์ รัชโยธิน, เซ็นทรัลลาดพร้าว และหน่วยงานราชการต่างๆ
"กลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่ม คนรุ่นใหม่ที่นิยมประกอบอาชีพอิสระ เช่น ขายสินค้าออนไลน์ สตารท์อัพ และกลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีไอทีต่างๆ ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและมีกำลังซื้อ ที่ต้องการบ้านพักอาศัยที่ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ใกล้เคียงกับ บ้านเดี่ยวไม่ใช่คอนโด"
ส่วนโครงการสองที่เปิดในปีนี้ ชื่อโครงการ Icopehn by IRIS บนพื้นที่ 16 ไร่ ถนนสุขุมวิท76 เป็นโครงการ ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น จำนวน 200 ยูนิต ระดับราคาเฉลี่ย 3 ล้านบาท มูลค่ารวม 800 ล้านบาท คาดว่า จะสามารถเปิดตัวโครงการช่วงครึ่งปีหลัง และสิ้นปีนี้ บริษัทจะมียอดรับรู้รายได้ 1,000 ล้านบาท มาจากการขายโครงการเดิม 500 ล้านบาท และโครงการใหม่ 500 ล้านบาท ถือว่าเติบโตจากปีก่อน ที่ยอดขายพลาดเป้าถึง 50%
ทั้งนี้ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ ชะลอตัว กระทบต่อกำลังซื้อและอารมณ์ ซื้อของผู้บริโภค ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ปีนี้บริษัทพยายามที่จะกระตุ้นตลาด และสร้างการรับรู้โครงการของบริษัทให้เป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น ในทุกรูปแบบ
นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีที่ดินสะสมรอการพัฒนาในต่างจังหวัดอีก 4 แปลงอยู่ในกรุงเทพฯ 2 แปลง ย่านพระราม 9 และตลิ่งชัน ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และสายสีแดง ตั้งอยู่บน พื้นที่ 3 ไร่ ซึ่งมีแผนพัฒนาในรูปแบบ แนวราบแต่ยังไม่สามารถเปิดข้อมูล ได้ส่วนอีก 2 แปลงอยู่ในต่างจังหวัด ใน จ.ชลบุรี จำนวน 21 ไร่ มีแผนจะพัฒนาโครงการแนวราบ และระยอง บริเวณหาดพลา จำนวน 34 ไร่ มีแผนจะพัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูส และโครงการบ้านสำหรับผู้สูงวัย หากนำมาพัฒนาโครงการคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 5,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังสนใจที่จะร่วมทุนกับกลุ่มทุนต่างชาติเพื่อพัฒนาโครงการร่วมกันด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาอยู่ 2 ประเทศ คือจีน และญี่ปุ่น แต่คงไม่ใช่ในปีนี้ เช่นเดียวกับแผนที่จะนำบริษัทฯเข้า จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ต้องรอให้สภาพเศรษฐกิจฟื้นตัวก่อนถึงจะดำเนินการต่ออีกครั้ง
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ