อสังหาฯเล็งซื้อที่ดินแนวรถไฟฟ้า3สาย
Loading

อสังหาฯเล็งซื้อที่ดินแนวรถไฟฟ้า3สาย

วันที่ : 4 มกราคม 2560
อสังหาฯเล็งซื้อที่ดินแนวรถไฟฟ้า3สาย

บิ๊กอสังหาฯ ชี้ทำเลทองปี 2560 เกาะแนวรถไฟฟ้าผุดคอนโด 3 สายใหม่สีชมพู เหลือง ส้ม ฟากแนวราบเกษตร-นวมินทร์ สาทร แจ้งวัฒนะมาแรง

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย เปิดเผยว่า ทำเลที่ผู้ประกอบการสนใจซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในปี 2560 หากเป็นโครงการคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่จะอยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายใหม่ที่รัฐบาลเปิดประมูลไปแล้วและเตรียมจะเปิดประมูล โดยเฉพาะรถไฟฟ้า 3 สายใหม่ ได้แก่ สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ในช่วงที่อยู่ใกล้กับศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ สายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว-สำโรง และสาย สีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี มีทำเลที่น่าสนใจอยู่ในช่วงถนนพระราม 9 ส่วนการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ ทำเลที่น่าสนใจจะอยู่บริเวณถนนพหลโยธิน 50 หรือช่วงตอนกลางขึ้นไปใกล้สายสีเขียวช่วงพหลโยธิน-คูคต และทำเลวงแหวนรอบนอกที่ใกล้กับทางด่วน เป็นต้น

"ที่ดินที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าสายใหม่ที่มีการก่อสร้างจริงถือว่าเป็นทำเลเด่น โดยเฉพาะบริเวณที่อยู่ใกล้กับแหล่งงาน ขณะที่ราคาที่ดินนั้นไม่ได้ปรับลดลง หลังจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เดิมมีแผนจะประกาศใช้ในปี 2560 แต่เลื่อนออกไปเป็นปี 2561 จึงทำให้ที่ดินแปลงใหม่ๆ ที่อยู่ระหว่างเจรจานั้นราคาไม่ได้ลดลง เชื่อว่าหากรัฐบาลประกาศใช้ภาษีที่ดินจริงจะทำให้ราคาที่ดินปรับลดราคาลงได้" นายไตรเตชะ กล่าว

อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2560 ตลาดคอนโดมิเนียมจะเริ่มฟื้นตัวหลังจากที่ไม่เติบโตมานาน 3 ปี เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ตลาดแนวราบนั้นมีการปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากบริษัทได้มีการปรับรูปแบบสินค้าให้มีความเหมาะสมกับการอยู่อาศัยจริง ประหยัดพลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก

ด้านนายแสนผิน สุขี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือโกลเด้นแลนด์ กล่าวว่า ทำเลทองของการพัฒนาโครงการแนวราบ มี 3 บริเวณเด่น ได้แก่ บริเวณเกษตร-นวมินทร์, สาทร-กัลปพฤกษ์ และแจ้งวัฒนะ โดยทั้ง 3 แปลงไม่ได้เป็นที่ดินที่ติดกับถนนใหญ่ แต่มีศักยภาพที่ดีในการพัฒนาโครงการรูปแบบคอนโดมิเนียมได้แต่เลือกที่จะพัฒนาโครงการแนวราบ

"รูปแบบการพัฒนาโครงการของบริษัทจะต้องมีอย่างน้อย 5 โครงการย่อยอยู่ในโครงการเดียว โดยแปลงที่ดินที่ซื้อจะต้องเป็นที่ดินขนาดใหญ่มีเนื้อที่ตั้งแต่ 100 ไร่ขึ้นไป พัฒนาโครงการรวมตั้งแต่ 1,000 ยูนิต จากก่อนหน้านี้ซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาขนาด 20-30 ไร่ แต่เนื่องจากตลาดแนวราบความต้องการยังค่อนข้างสูงหากซื้อที่ดินแปลงเล็กจะไม่ทันกับการเปิดขายโครงการในเฟสใหม่ ขณะเดียวกันต้องมีการปรับฟังก์ชั่นของแบบบ้านให้มีประโยชน์ใช้สอยที่เพิ่มขึ้น เช่น บ้านแฝด ให้เทียบเท่ากับบ้านเดี่ยว" นายแสนผิน กล่าว

ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

 

 

 

ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ