'แสนสิริ'รุกPropertyTech กลยุทธ์พิชิตเป้ายอดขาย-รายได้ปีนี้ 3.4หมื่นล้าน
Loading

'แสนสิริ'รุกPropertyTech กลยุทธ์พิชิตเป้ายอดขาย-รายได้ปีนี้ 3.4หมื่นล้าน

วันที่ : 15 มกราคม 2560
'แสนสิริ'รุกPropertyTech กลยุทธ์พิชิตเป้ายอดขาย-รายได้ปีนี้ 3.4หมื่นล้าน

แสนสิริ เปิดกลยุทธ์พิชิตเป้ายอดขาย-รายได้ปี 60 ชูโครงการร่วมทุนบีทีเอสเป็นแกนหลัก ปัดฝุ่นบ้านเดี่ยวแบรนด์ "บ้านแสนสิริ" ดึงกำลังซื้อเศรษฐีขยายกลุ่มไฮเอนด์ พร้อมปฏิวัติองค์กรสู่ดิจิตอล ทรานส์ ฟอร์เมชัน และเล็งลงทุนธุรกิจประเภท "Property Tech"

นายเศรษฐา  ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท แสนสิริ  จำกัด (มหาชน) หรือ  SIRI  เปิดเผยว่า ในปี 2560 วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 19 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4.12 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ มูลค่ารวม 2.19 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนที่ 53% โครงการบ้านเดี่ยว 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.85 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 45% และโครงการทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนที่ 2%  เน้นกลุ่มกลาง-บน และไฮเอนด์

โดยบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายรวมสำหรับปี 2560 ไว้ประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตจากปี 2559 ประมาณ 20% ที่มียอดขายประมาณ 3.11 หมื่นล้านบาท รวมทั้งประมาณการรายรับรวมได้ไว้ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท  ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ในอีก 4 ปีข้างหน้า (ปี 2564) ประมาณ 3.9 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายรอรับรู้รายได้จากโครงการที่พัฒนาโดยบริษัทจำนวน 1.86 หมื่นล้านบาท และเป็นยอดขายรอรับรู้รายได้จากโครงการร่วมทุนระหว่างบีทีเอสจำนวน 2.04 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 1.44 ล้านบาท เป็นของโครงการที่พัฒนาโดยบริษัทจำนวนประมาณ 6,400 พันล้านบาท และจากโครงการร่วมทุนอีกประมาณ 8,020 ล้านบาท

สำหรับกลยุทธ์ที่จะนำมาใช้ในการผลักดันยอดขายและยอดรับรู้รายได้ให้เป็นไปตามเป้าประกอบด้วย 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.เปิดตัวโครงการใหม่ภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสจำนวน 4 โครงการ มูลค่ากว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ภายใต้แบรนด์ "เดอะ โมนูเมนต์" และ "เดอะ เบส" เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทยังทยอยโอน เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71 โครงการคอนโดมิเนียมที่แล้วเสร็จ 100% เป็นโครงการแรกภายใต้ความร่วมมือของ 2 บริษัทที่จะเริ่มรับรู้กำไร รวมทั้งจ่อคิวโอนโครงการ เดอะ ไลน์ จตุจักร-หมอชิต ซึ่งจะแล้วเสร็จเป็นโครงการต่อไปในช่วงปลายปี 2560 โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (2557-2559) บริษัทจะมีโครงการที่พัฒนาภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสจำนวน 8 โครงการ มูลค่ารวม 3 หมื่นล้านบาท จากเป้า 2 ปีที่จะพัฒนาโครงการร่วมกันรวม 25 โครงการ มูลค่า 1 แสนล้านบาท

2.บริษัทจะมีการเปิดตัวโครงการระดับไฮเอนด์ในสัดส่วนที่มากขึ้น โดยไฮไลต์ที่สำคัญสำหรับปีนี้ คือ การเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวระดับบน เซ็กเมนต์ราคาสูงที่สุดของแสนสิริ ภายใต้แบรนด์ "บ้านแสนสิริ" ที่จะนำกลับมาพัฒนาอีกครั้ง ระดับราคาขายอยู่ที่ประมาณ 40-120 ล้านบาทย่านพัฒนาการ หลังประสบความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการ "บ้านแสนสิริ สุขุมวิท 67" ในปี 2549 เนื่องจากมองว่าตลาดในระดับนี้ยังมีความต้องการอีกเป็นจำนวนมาก

3. การรุกทำการตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายตลาดต่างชาติในปีนี้ไว้ 7,500 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาที่บริษัทสามารถสร้างยอดขายตลาดต่างชาติได้  5,400 ล้านบาท ถึง 38% ส่งผลให้แสนสิริเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดของตลาดต่างชาติสูงสุด จากการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยบริษัทเดียวที่เปิดการขายโครงการในต่างประเทศ พร้อมกันในหลายประเทศ และจัดกิจกรรมหลังการขายกับลูกค้าต่างชาติอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก พร้อมจัดตั้งสาขาในต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีสาขาที่สิงคโปร์ เซี่ยงไฮ้

4. เตรียมปฏิวัติวงการอสังหาฯ สู่ "Digital Transformation" ไฮไลต์สำคัญของแสนสิริในปีนี้ ในการก้าวทันยุค ดิจิตอล ที่จะยกระดับสู่บริษัทอสังหาริม ทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยอย่างเต็มรูปแบบ โดยขั้นตอนแรกที่จะได้เห็นในปีนี้ คือการจัดตั้งส่วนงานใหม่ที่เรียกว่า Data Analytics and Business Intelligence ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อทำหน้าที่ในการวางโรดแมปของ enterprise data ใหม่ทั้งหมดและเป็นทีมหลักในการผลักดันให้แสนสิริปรับเปลี่ยนเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับ data analytics capabilities ซึ่งในส่วนของการจัดตั้งส่วนงานขึ้นมาใหม่นี้ นับเป็นการลงทุนทางทรัพยากรบุคคลเพื่อเฟ้นหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะด้านมาทำงานร่วมกับหน่วยงานภายในเดิมที่มีความรู้ลึกเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาฯ และกระบวนการต่างๆ เป็นอย่างดีเพื่อสร้างทีมที่มีความเหมาะสม โดยการใช้ข้อมูลในการวางแผนทางธุรกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดความมีประสิทธิภาพในการทำงานและสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจได้ นับเป็นการต่อยอดจากนโยบาย EFG หรือ Engineering for Growth ที่แสนสิริทำต่อเนื่องตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา

สำหรับกลยุทธ์สุดท้ายคือ การสร้าง Innovation and digital ecosystem โดยการจัดตั้งบริษัทลูกในลักษณะของ Venture Capital ขึ้น เพื่อมองหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจประเภท "Property Tech" ที่มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทแสนสิริ และจะมีส่วนช่วยผลักดันธุรกิจหลักของแสนสิริให้มีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น รวมถึงมองหาโอกาสและ Innovation ทางธุรกิจและกระบวนการธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง โดยคาดว่าธุรกิจใหม่นี้จะเป็นช่องทางรายได้ใหม่ของ  แสนสิริได้ในอนาคต โดยมีแผนจะเปิดตัวบริษัทร่วมทุนและให้ข้อมูลโดยละเอียดอีกครั้งในการแถลงข่าววันที่ 25 มกราคมนี้

ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

 

 

 

ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ