อสังหาฯรับมือรีเจกต์พุ่ง'RK'เข้มเซล-ใช้แอพฯช่วย
อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้ รับมือปัญหารีเจกต์พุ่งสูง เทรนเซลขายบ้านให้ประเมินคุณสมบัติผู้กู้เบื้องต้น ได้ พร้อมนำแอปพลิเคชันช่วยตรวจสอบ คุณสมบัติก่อนยื่นขอสินเชื่อจากแบงก์ ส่งผลยอดรีเจกต์ลดเหลือ 6-7% พร้อมเผยแผนลงทุนปี 60 เปิด 3 โครงการมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท
นายวรยุทธ กิตติอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รุ่งกิจ เรียลเอสเตท จำกัด หรือ RK Property เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี 2560 ว่า อาจจะไม่เติบโตมากนักเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ขณะที่ผู้บริโภค มีความระมัดระวังในการจับจ่ายและซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น รวมไปถึงสถาบันการเงินยังมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้ยอดปฏิเสธสินชื่อ (รีเจกต์) เพิ่มสูงขึ้นมากจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
การดำเนินธุรกิจอสังหาฯในปัจจุบัน ถือว่ามีความอยากลำบากกว่าในอดีต มีการทำการตลาดที่ซับซ้อน การบริหารการเงินและต้นทุน การนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้ การพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพและสร้างความแตกต่าง อย่างไรก็ตามปัญหาใหญ่ของธุรกิจนี้ยังขึ้นอยู่กับต้นทุนการเงินที่ปัจจุบันสถาบันการเงินเข้มงวด โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยเพื่อซื้อบ้านที่มียอดรีเจกต์เพิ่มสูงขึ้นมากในกลุ่มตลาดระดับกลาง-ล่าง
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการรายใหญ่จะได้เปรียบในการต่อรองกับสถาบัน การเงินทั้งสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการ และสินเชื่อรายย่อยสำหรับลูกค้ากู้ซื้อบ้าน ในขณะที่ผู้ประกอบการรายเล็กไม่มีอำนาจต่อรองหากโครงการใดมีหนี้ที่ ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ธนาคารจะเริ่มเข้มงวดลูกค้าที่มาขอสินเชื่อรายหลังๆ หรือประเมินราคาบ้านต่ำลง ทำให้ยอดรีเจกต์เพิ่มสูงขึ้น
"ผู้ประกอบการรายกลางรายเล็ก ไม่ควรพัฒนาสินค้าที่ตัวเองไม่ถนัดหรือไม่เคยทำมาก่อน หรือไปในทำเลใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคย รายใหม่ที่ต้องการเข้าตลาดในช่วงนี้แนะนำว่ายังไม่ควรเข้ามา เนื่อง จากตลาดไม่ได้ดีอย่างที่ผ่านมา หากต้อง การกำไรจากธุรกิจอสังหาฯในตอนนี้คิดว่าขายที่ดินยังได้กำไรเยอะกว่าพัฒนาเอง ไม่ต้องเสี่ยง" นายวรยุทธกล่าว
ทั้งนี้เพื่อเป็นการแก้ปัญหารีเจกต์ บริษัทได้ฝึกอบรมพนักงานขายให้สามารถ พิจารณาคุณสมบัติผู้กู้ในเบื้องต้นได้ รวมถึงการนำแอปพลิเคชันในการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงินต่างๆ มาใช้ประกอบเพื่อคัดกรองคุณสมบัติของลูกค้าว่าจะสามารถผ่านการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินหรือไม่ หากผ่านการตรวจสอบในเบื้องต้นก็จะรับเงินจองและให้ลูกค้ายื่นขอสินเชื่อ ทำให้ปัจจุบันอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทอยู่ที่ระดับ 6-7% เท่านั้น ซึ่งสาเหตุหลักที่ลูกค้าไม่ผ่าน การอนุมัติจะมาจากสถาบันการเงินอนุมัติวงเงินสินเชื่อต่ำกว่าที่ลูกค้าต้องการ
นายวรยุทธ กล่าวต่อว่า การพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ ในปัจจุบันนอกจากการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ การออกแบบฟังก์ชันให้ตอบโจทย์ลูกค้าแล้ว ยังต้องนำเทคโนโลยีมาใช้เนื่องจากในปัจจุบันเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยบริษัทได้นำระบบ Home Automation System ด้วยการสั่งงานผ่านมือถือและแท็ปเล็ตเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกบ้าน อีกทั้งยังสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งอีกด้วย
ส่วนกรณีเรื่องภาษีมรดก และภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่เลื่อนการประกาศใช้ออกไป แต่คาดว่าจะประกาศใช้ใน 1-2 ปีนี้ ทำให้ราคาขายที่ดินไม่ปรับสูงขึ้นเหมือนช่วงที่ผ่านมา ซึ่งผู้ประกอบการได้มีการกักตุนซื้อที่ดินแต่ไม่ได้ต้องเร่งเปิดโครงการมาก ทั้งนี้คงต้องรอดูความชัดเจนจากการเลือกตั้งและเรื่องภาษีมรดกเสียก่อน
นายวรยุทธ กล่าวต่อว่า ในปี 2559 ที่ผ่านมายอมรับว่ายอดการเข้าเยี่ยมชมโครงการของลูกค้าลดลงมาก จากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ซึ่งบริษัทได้ปรับแผนการตลาดด้วยการจัดโปรโมชันลดราคาและชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ ซึ่งเดิมในปีที่ผ่านมามีแผนเปิดตัว 3 โครงการ แต่สามารถเปิดตัวได้เพียง 1 โครงการ ส่วนอีก 2 โครงการปรับเลื่อนมาเปิดตัวในปี 2560 แทน โดยสามรถรับรู้รายได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้คือ 1,200 ล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินงานของ บริษัทฯในปี 2560 ตั้งเป้ารับรู้รายได้เท่าปี 2559 จำนวน 1,200 ล้านบาท เนื่องจาก มองว่าตลาดไม่โตมากนัก โดยวางแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 3 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท ได้แก่ 1. โครงการย่านรังสิต คลอง 4 ซึ่งถือว่าเป็นโครงการแรกที่บริษัทขยายฐานออกนอกพื้นที่กรุงเทพฯเป็นครั้งแรก เนื่องจากทำเลดังกล่าวกำลังมีการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคมากมาย อาทิ การขยายถนน, การก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมไปถึงการเปิดตัวของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล พลาซ่าด้วย โดยทำเลดังกล่าวจะพัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว บนพื้นที่ 20 ไร่ ขนาดที่ดิน 50 ตารางวา ราคา 4 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 100 ยูนิต มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท มีแผนจะเปิดตัวในเดือนมีนาคมนี้
2. โครงการ RK Home Park ย่านหทัยราษฎร์ บนพื้นที่ 18 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยว ขนาด 50 ตารางวา ราคา 3.8 ล้านบาท และบ้านแฝด ขนาด 35 ตารางวา ราคา 3.3 ล้านบาท รวม 90 ยูนิต มูลค่าโครงการ 315 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในไตรมาส 2/2560
และ 3.โครงการ ดิ ไอเฟิล รามคำแหง (ซอยมิสทีน) ตั้งอยู่บนพื้นที่ 24ไร่ พัฒนาในรูปแบบของโฮมออฟฟิศ สูง 4 ชั้น ขนาด 20 ตารางวา ราคา 6.9 ล้านบาท และทาวน์โฮม สูง 3 ชั้น ขนาด 22 ตารางวา ราคา 3.5 ล้านบาท รวม 204 ยูนิต มูลค่าโครงการ 950 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 นี้
ที่มา : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 360 องศา