สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้า 2 หมื่นล้าน ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์ระดับโลก
'สิงห์ เอสเตท' เน้นกลยุทธ์สร้างมูลค่าเพิ่ม ทุ่มลงทุน 15,000 ล้าน พัฒนาโครงการระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ทั้งในกลุ่มโรงแรม คอนโดมิเนียม บ้านพักอาศัย และอาคารสำนักงาน เดินหน้าเปิด 3 โครงการซูเปอร์ลักชัวร์รี่ในโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ บริเวณแยกอโศก-เพชรบุรี, คฤหาสน์ระดับ 6 ดาว บนถนนประดิษฐ์มนูธรรม ราคาเริ่ม 200 บาท/หลัง และคอนโดมิเนียมหรูติดสถานีรถไฟฟ้าทองหล่อ
นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2560 นี้สิงห์ เอสเตท ยังคงดำเนินงานตามเป้าหมายระยะยาว เน้นการลงทุนใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ 1.ธุรกิจที่อยู่อาศัยเพื่อขาย 2.ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าและพื้นที่ค้าปลีก และ 3.ธุรกิจโรงแรม โดยมีงบในการลงทุนขยายงาน 3 ธุรกิจหลักประมาณ 14,355 ล้านบาท ซึ่งให้ความสำคัญการลงทุนในกลุ่มธุรกิจโรงแรมมากสุดสัดส่วน 65% หรือใช้งบลงทุน 9,232 ล้านบาท รองลงมาคือธุรกิจที่อยู่ศัย 25% หรือใช้งบลงทุนประมาณ 3,647 ล้านบาท และธุรกิจโรงแรมมีสัดส่วนในการลงทุน 10% หรือใช้งบลงทุนประมาณ 1,476 ล้านบาท และหาพันธมิตรเพื่อผนึกกำลังและสร้างการเติบโต รวมทั้งสร้างแบรนด์ในพอร์ตโฟลิโอให้เป็นที่รู้จักในระดับโลกต่อยอดจากในปีที่ผ่านมา ได้ดำเนินการตามแผนงานที่วางเอาไว้ในแต่ละเซ็กเมนต์ ทั้งการขยายความเป็นผู้นำในตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ และการลงทุนในธุรกิจที่มุ่งเน้นทั้งธุรกิจโรงแรม ที่พักอาศัย และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า รวมทั้งพื้นที่ค้าปลีก
โดยในปีนี้เปิดตัวที่อยู่อาศัย 3 โครงการใหม่ในระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ประกอบ ด้วยโครงการคอนโดมิเนียม THE ESSE ในโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ อโศก-เพชร บุรี ซึ่งจะเปิดปลายไตรมาสแรกของปีนี้ โครงการสันติบุรี เรสซิเดนซ์ เลียบทางด่วน เอกมัย-รามอินทรา บ้านเดี่ยวซูเปอร์ ลักชัวรี่ ราคาเริ่มต้น 200 ล้านบาท จำนวน 24 ยูนิต บนพื้นที่โครงการ 45-2-92 ไร่ จะเปิดตัวไตรมาส 4 และโครงการซูเปอร์ลักชัวรี่คอนโดฯ บนถนนสุขุมวิท 36 ติดบนพื้นที่โครงการ 2-2-0 ไร่ ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาส 4 เช่นกัน นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะทยอยเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยภายใต้แบรนด์เนอร์วาน่า ในปีนี้อีก 4 โครงการ เป็นการพัฒนาร่วมกับบริษัท ไดอิ จำกัด ซึ่งเชี่ยวชาญด้านธุรกิจรับสร้างบ้านมีการเพิ่มแบบบ้านใหม่ 5 แบบ เพื่อตอบรับความต้องการลูกค้าใหม่เน้นจับตลาดกลาง-บน ราคา 8-10 ล้านบาทขึ้นไป
นายนริศ กล่าวอีกว่า สำหรับเป้าหมายด้านยอดขายและรายได้ของกลุ่มสิงห์ฯ ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 20,000 ล้านบาท ในอีก 5 ปีข้างหน้าหรือในปี 2020 โดยผลการดำเนินงานปีนี้คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่ง ปีที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากเศรษฐกิจ การลงทุนเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ของภาครัฐ และการเมืองที่นิ่ง เป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นด้านการลงทุนของภาคเอกชน โดยปี 59 ที่ผ่านมา 9 เดือน บริษัทมีรายได้ 1,713 ล้านบาท หรือเติบโต 19%
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ