CHOKCHAI

จากการสำรวจของบริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย พบว่า อุปทานคอนโดมิเนียมใน ย่านถนนสุขุมวิทตอนปลาย (ช่วงสุขุมวิทซอย 71-บางนา) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 4,000-5,000 หน่วย โดยปี 2559 มีอุปทานเพิ่มขึ้นมาใหม่ประมาณ 4,832 หน่วย ซึ่งในช่วงระยะ 3 ปี ที่ผ่านมา อุปทานใหม่ที่เข้ามามีจำนวนที่น้อยลง เนื่องจากโครงการเปิดตัวส่วนมากเป็นโครงการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่มีจำนวนหน่วยต่อโครงการน้อยลง โดยเฉลี่ยโครงการที่เปิดตัวช่วยปี 2555-2556 มีจำนวนหน่วยต่อโครงการอยู่ที่ 465 หน่วย เทียบกับช่วงปี 2557-2559 เฉลี่ยมีจำนวนหน่วยต่อโครงการอยู่ที่ 302 หน่วย

จากปี 2559 ทำเลนี้มีอุปทานใหม่รวมทั้งสิ้น 4,832 โพสต์กราฟฟิกหน่วย โดยจากทั้งหมดนี้กว่า 64% เป็นหน่วยที่มาจาก์กราฟฟิกโครงการห้องชุดที่เป็นอาคารสูง (High Rise) ในขณะที่ 36% มาจากโครงการห้องชุดที่เป็นอาคารเตี้ย (Low Rise) หากจำแนกเป็นเกรดของคอนโดมิเนียม พบว่าคอนโดมิเนียมในทำเลนี้เป็นคอนโดมิเนียมเกรดบีมากที่สุด มีสัดส่วน 41% ของอุปทานทั้งหมด ตามด้วยคอนโดมิเนียมเกรดซีที่มีสัดส่วน 37% ของอุปทาน ส่วนสุดท้าย 22% ของอุปทาน เป็นคอนโดมิเนียมเกรดเอ ซึ่งมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น มากกว่าปี 2558 ที่มีสัดส่วนคอนโดมิเนียมเกรดเอเพียง แค่ 15% ของอุปทานในทำเลนี้ ซึ่งหมายความว่าทำเลนี้มี ศักยภาพในการเติบโตทางด้านราคาขาย เป็นที่น่าสนใจว่ามีตลาดคอนโดมิเนียมเกรดเอในบริเวณสุขุมวิทมีแนวโน้มการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ตอนปลายตั้งแต่ปี 2558

ทั้งนี้ ในช่วงปี 2559 มีอุปสงค์สะสมคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิทตอนปลายอยู่ที่ 33,133 หน่วย จากอุปทานสะสมทั้งหมด 40,823 หน่วย คิดเป็นยอดขายสะสมที่ 81.2% ซึ่งต่ำลงกว่ายอดขายสะสมของปี 2558 เพียง เล็กน้อย หากคิดเป็นอุปสงค์รายปี พบว่าจำนวนหน่วยที่ถูกขายไปในปี 2559 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,771 หน่วย น้อยลง กว่าจำนวนที่ถูกขายใน 4-5 ปีก่อนหน้า เนื่องจากมีการชะลอตัวในการตลาดจากผู้พัฒนาโครงการในช่วงท้ายของปีส่งผลให้ยอดขายคอนโดมิเนียมในปี 2559 ต่ำกว่าปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตามจำนวนอุปทานใหม่ในแต่ละปีที่ สูงกว่าอุปสงค์ไม่มากจนเกินไปประกอบกับอัตรายอดขาย สะสมที่สูงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในทำเลนี้

สำหรับระดับราคาคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิท ตอนปลาย (ซอยสุขุมวิท 71-บางนา) มีอัตราการเติบโต สะสมต่อปีอยู่ที่ประมาณร้อยละ 9.78 ต่อปี โดยคอนโด มิเนียมในย่านสุขุมวิทตอนปลายในปี 2559 มีราคาขายสูงสุดอยู่ที่ตารางเมตร (ตร.ม.) ละ 163,673 บาท และต่ำ สุดอยู่ที่ ตร.ม.ละ 74,150 บาท ค่าเฉลี่ยในบริเวณทั้งหมด มีราคาขายอยู่ที่ ตร.ม.ละ 101,493 บาท

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์