เจ้าสัวเจริญทุ่ม8หมื่นล.ซื้อคืนอสังหาฯ กรุงไทยแนะผู้ถือกองทุนปฏิเสธขายชี้ผลตอบแทนไม่คุ้มเท่าลงทุนยาว
แอสเสท เวิร์ด เครือทีซีซีฯ ของเจ้าสัวเจริญ เสนอซื้อสินทรัพย์กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด รวม 8 หมื่นล้าน ด้าน บลจ.กรุงไทยไม่เห็นด้วย ให้ผู้ถือหน่วยขาย อ้างผลตอบแทนไม่คุ้มเมื่อเทียบกับการลงทุนระยะยาว
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการ กองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทำหนังสือแจ้งกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 ได้รับแจ้งจากกลุ่มบริษัท แอสเสท เวิร์ด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของทีซีซี กรุ๊ป (ทีซีซี กรุ๊ป หรือกลุ่มไทยเจริญคอร์ปอเรชั่นก่อตั้งโดยนายเจริญ และคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี เจ้าของธุรกิจเบียร์ช้างและอสังหาริมทรัพย์) ว่า บริษัท แอสเสท เวิร์ด มีความประสงค์ขอซื้อสินทรัพย์ทั้งหมดของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าไทยคอมเมอร์เชียลอินเวสเม้นต์ ซึ่งมีทรัพย์สินในกองเช่น อาคารแอทธินี อาคาร 208 อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ เสนอซื้อราคา 29,000 ล้านบาท เสนอซื้อสินทรัพย์ ทั้งหมดของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยรีเทล อินเวสเม้นท์ มีสินทรัพย์ ในกองเช่น พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า งามวงศ์วาน เชียงใหม่ ประตูน้ำ บางกะปิ ตะวันนา เสนอซื้อราคา 21,000 ล้านบาท
นางชวินดากล่าวว่า ยังเสนอซื้อทรัพย์สินของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าไทยโฮเทลอินเวสเม้นต์ ซึ่งมีสินทรัพย์ เช่น โรงแรมพลาซ่า แอทธินี กรุงเทพ อโรยัล เมอริเดียน ถนนวิทยุ โรงแรมดิโอกุระ เพรสทีจ ถนนวิทยุ โรงแรมเชอราตัน สมุย บีช รีสอร์ท เกาะสมุย เป็นต้น ในราคา เสนอซื้อ 30,000 ล้านบาท รวมทั้งหมด 8 หมื่นล้านบาทจากราคาประเมิน 7-8 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน บริษัท แอสเสทเวิร์ด ถือหุ้นอยู่ใน 3 กองทุน สัดส่วน 33% 30.9% และ 33% จึงใช้สิทธิ์ถือหน่วยลงทุนเกิน 10% ร้องขอ ให้จัดการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขอมติผู้ถือหน่วยลงทุนให้ขายสินทรัพย์
"ความเห็นของบริษัทในฐานะผู้บริหารจัดการกองทุน เห็นว่าผู้ถือหน่วย ควรปฏิเสธการขายทรัพย์สินทั้งหมดของกองทุนรวมทั้ง 3 กองทุน เพราะการขายทรัพย์สินทั้งหมด นำไปสู่การเลิกกองทุนส่งผลให้ผู้ถือหุ้นไม่ได้รับ ผลตอบแทนจากการถือหน่วยลงทุน แต่จะได้รับเงินคืนทุนจากการขาย ทรัพย์สิน และส่วนเกินทุนในคราวเดียว แม้ราคาเสนอซื้อจะสูงกว่าราคาประเมิน แต่ราคาเสนอซื้อไม่คุ้มค่าต่อผู้ถือหน่วย เมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนผู้ถือหน่วยลงทุน จะได้รับในระยะยาวซึ่งกองนี้มีอัตราจ่ายปันผล 4-5% ต่อปี ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับกองทุนประเภทเดียวกัน และทรัพย์สิน หลายชิ้นอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ" นางชวินดากล่าว
นางชวินดากล่าวว่า การประชุมผู้ถือหน่วยจะจัดวันที่ 19 พฤษภาคม ทั้งนี้ ธุรกรรมการซื้อทรัพย์สินจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ถือหน่วยต้องเห็นชอบให้ขายทรัพย์สินเกิน 50% ของหน่วยลงทุนที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด หรือ 3 ใน 4 ของผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด (ไม่นับรวมสัดส่วนของผู้ทำคำเสนอซื้อ) และคาดว่าธุรกรรมครั้งนี้จะเสร็จสิ้นภายในเดือนพฤษภาคม 2560 หากรายย่อยไม่สนใจขายจะต่อรองให้มีการเยียวยาด้วยราคาตลาด 15 วันเฉลี่ยก่อนประชุม บอร์ดเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา
นางชวินดา ระบุว่า ราคาเสนอซื้อของทั้งสามกองทุนในครั้งนี้ มีราคาต่ำกว่าราคาการซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยกองคอมเมอร์เชียลอินเวสเม้นต์เสนอซื้อที่ 13.10 บาท ราคาซื้อขายในตลาด 14.13 บาท กองไทยรีเทลเสนอซื้อที่ 13.22 บาท ราคาในตลาด 16.38 บาท กองไทยโฮเทลอินเวสเม้นต์เสนอซื้อ 11.45 บาท ราคาตลาด 11.98 บาท และต่ำกว่าราคาประเมินตามมูลค่าทรัพย์สินที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนได้เลือกใช้ผู้ประเมิน ราคาทรัพย์สินชั้นนำของประเทศและเป็นบริษัทที่ได้รับการรับรองโดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จำนวน 4 ราย และนักกฎหมายซึ่งจะให้ความเห็นกับผู้ลงทุนเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน