THANAยอดขายไตรมาส1แจ่มQ2เปิดบ้านย่านปิ่นเกล้า900ล.
“ธนาสิริฯ” แย้มยอดขายไตรมาส 1/60 โต รับอานิสงส์รุกทำตลาดผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น เตรียมเปิดตัวโครงการ ธนาฮาบิแทต ปิ่นเกล้า-สิรินธร มูลค่าประมาณ 800-900 ล้านบาท ในไตรมาส 2/60
นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/60 เติบโตต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นยอดขาย (Presale) ในช่วงไตรมาส 1/60 เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขายประมาณ 170 ล้านบาท และเติบโตจากช่วงไตรมาสก่อนที่มียอดขายประมาณ 190 ล้านบาท
โดยยอดขายที่เติบโตเป็นผลมาจากบริษัทมีสินค้าให้เลือกหลายรูปแบบ หลายระดับราคา และหลายทำเลที่ตั้งของโครงการ ขณะเดียวกันในทุกโครงการที่อยู่ระหว่างขายจะมีสินค้าพร้อมโอน (สต๊อก) สามารถเห็นบ้านจริง และสามารถเข้าอยู่ได้ทันที ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่จริง นอกจากนี้ฝ่ายขายได้รุกทำการตลาดผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น แทนป้ายโฆษณา จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคในปัจจุบัน ส่งผลให้ข้อมูลต่างๆ เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
สำหรับในช่วงไตรมาส 2/60 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการ ธนาฮาบิแทต (HABITAT) ปิ่นเกล้า-สิรินธร มูลค่าโครงการประมาณ 800-900 ล้านบาท ซึ่งจะพัฒนาเป็นโครงการบ้านเดี่ยว บนที่ดินประมาณ 27 ไร่ จำนวน 95 ยูนิต โดยจะเปิดขายเฟส 1 จำนวน 15 ยูนิต ในช่วงเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายนนี้ เป็นบ้านที่สร้างเสร็จก่อนขาย ราคาขายจะอยู่ที่ประมาณ 9-10 ล้านบาทต่อยูนิต
“แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 2/60 ประเภทโครงการแนวราบน่าจะยังคึกคัก จากปัจจัยของการลงทุนภาครัฐที่เห็นความชัดเจนแล้ว และโครงการที่เริ่มการลงทุนในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ถึงช่วงต้นเดือนเมษายนนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีความคึกคักมากขึ้น ขณะที่กำลังซื้อก็ยังมี แต่ผู้บริโภครอความมั่นใจ ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการที่แท้จริงยังมีอยู่ ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมยังต้องเหนื่อยหน่อย” นายสุทธิรักษ์ กล่าว
นายสุทธิรักษ์ กล่าวอีกว่า บริษัทมีความมั่นใจปีนี้ผลประกอบการจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้จะเติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 790 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่าประมาณ 180 ล้านบาท ซึ่งจะใช้เวลาในการทยอยรับรู้เป็นรายได้ประมาณ 45 วัน อย่างไรก็ตาม จะมียอด Backlog ใหม่ๆ เข้ามาทดแทนอย่างต่อเนื่อง จากการขายโครงการใหม่ และโครงการที่มีอยู่ในมือ
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างขายในมือ จำนวน 8 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการในเขตจังหวัดนนทบุรี จำนวน 7 โครงการ และโครงการในจังหวัดอุดรธานี จำนวน 1 โครงการ โดยมีสินค้าพร้อมขาย (สต๊อก) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ทันทีหลังการขาย
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนารูปแบบของประเภทโครงการในจังหวัดภูเก็ต โดยในช่วงไตรมาส 1/60 ที่ผ่านมาบริษัทได้ว่าจ้างบริษัทต่างชาติทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจพัฒนาประเภทโครงการในพื้นที่ดังกล่าว เบื้องต้นบริษัทคาดจะได้ข้อสรุปความชัดเจน ทิศทางการพัฒนาโครงการในช่วงไตรมาส 3/60 และคาดน่าจะเริ่มพัฒนาโครงการได้ในปี 2561
ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น