ศรีมาลา พรรณเชษฐ์ ดีเวลอปเปอร์ป้ายแดงปักธงเชียงใหม่ปั้นแบรนด์ มาลาดา 1.5 พันล้าน
"มาลาดา" เป็นแบรนด์โครงการอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดเชียงใหม่ ที่ขยายตัวอยู่เกือบทุกทิศทางของเมือง ทั้งโซนกลาง เหนือ ตะวันตก และใต้ ถือเป็นโครงการน้องใหม่หมาด ๆ ที่เพิ่งลงมาเล่นในตลาดเมื่อ 4 ปี ที่ผ่านมากับ 5 โครงการใหญ่ ด้วยมูลค่าลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท
น่าสนใจอย่างยิ่งว่าท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ "มาลาดา" ยังคงขยายการลงทุนไม่หยุด ด้วยกลยุทธ์อะไร "ศรีมาลา พรรณเชษฐ์" กรรมการผู้จัดการโครงการมาลาดา ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ กับ "ประชาชาติธุรกิจ"
จากพื้นฐานธุรกิจปั๊มน้ำมันที่ทำมาร่วม 20 ปี โดยเป็นผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมันเชลล์ในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 5 สถานี (ปัจจุบันบริหารอยู่เพียง 3 สถานี) ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์มาก่อน แต่ด้วยเพราะมีความสนใจในธุรกิจนี้ อยู่เป็นทุนเดิม "ศรีมาลา" จึงชิมลางด้วยการซื้อที่ดินและสร้างบ้านเองภายในโครงการหมู่บ้านจัดสรรโซนอำเภอหางดง เพื่อปล่อยให้เช่า 13 หลัง ซึ่งเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ที่ทำมาถึง 12 ปีแล้ว
4 ปีที่แล้วจึงหันเหเข้าสู่วงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบจริงจัง คิดจะทำทั้ง ๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนเลย แต่วางกรอบคิดในการทำ คือ จะทำเองทุกอย่างเพื่อให้มีประสบการณ์ ให้รู้ซึ้งถึงแก่น ของการทำธุรกิจนี้ พร้อมกับไปเข้าคอร์สเรียนวิชาอสังหาริมทรัพย์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งทำให้ได้เรียนรู้ประสบการณ์ตรงจากวิทยากรในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ที่ ประสบความสำเร็จของเมืองไทย
ปักธง 5 โครงการแม่ทัพใหญ่ของมาลาดาบอกว่า เริ่มทำโครงการแรกในปี 2556 บุกเบิกภายใต้ แบรนด์ "มาลาดา" คือโครงการมาลาดา โฮม แอนด์ รีสอร์ท มูลค่าการลงทุนราว 500 ล้านบาท บนเนื้อที่ 28 ไร่ อยู่ทางโซนใต้ของเชียงใหม่ บนถนนคันคลองชลประทาน (สี่แยกสะเมิง-ต้นเกว๋น) ซึ่งด้วยไม่มีประสบการณ์ โครงการจึงมิกซ์รวมกันทั้งทาวน์โฮม บ้านแฝด บ้านเดี่ยว อาคารพาณิชย์ รวมทั้งหมด 164 ยูนิต เพื่อจับทิศทางความต้องการตลาดและความต้องการของลูกค้าที่แท้จริง ซึ่งดูเหมือนว่าโครงการตอบโจทย์ตลาดเป็นอย่างดี เพราะทั้ง 164 ยูนิตขายหมดภายใน 6 เดือน และมีลูกค้าอยู่อาศัยจริงถึง 90%
เมื่อโครงการแรกปิดการขายได้อย่างรวดเร็วในปี 2557 จึงปักหมุดโครงการที่ 2 ต่อเนื่องทันที ยึดทำเลถนนคันคลองชลประทาน ซึ่งเป็นย่านที่ใกล้กับถนน ห้วยแก้ว ถนนนิมมานเหมินทร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำเลฮอตของเชียงใหม่ โดยขึ้นเป็นอาคารพาณิชย์ โครงการ M-town by malada สไตล์ Modern Shop House จำนวน 27 ยูนิต (เหลือขายเพียง 3 ยูนิต) ด้วยมูลค่าการลงทุนราว 140 ล้านบาท
โครงการที่ 3 เริ่มลงทุนในปี 2558 โดยหักมุมมาทำโครงการคอนโดมิเนียม "PLAY CONDOMINIUM BY MALADA" บนถนนห้วยแก้ว ซึ่งเป็นทำเลที่ดีที่สุด ใกล้ย่านนิมมานเหมินทร์ ดีไซน์ห้องพักสไตล์รีสอร์ต และ Modern Minimalist เป็นอาคาร 7 ชั้น จำนวน 65 ยูนิต (เหลือขาย 4 ยูนิต) มูลค่าการลงทุน 150 ล้านบาท ลูกค้าเข้าอยู่อาศัยจริง และส่วนหนึ่งเป็น กลุ่มลูกค้าจากกรุงเทพฯที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าจำนวนราว 35 ยูนิต ที่ฝากให้ทางโครงการเป็นผู้ดูแลให้บริการเช่า
"เราทำคอนโดฯในช่วงที่ธุรกิจคอนโดฯขาลง คอนโดฯเราก็ไม่เคยทำมาก่อน แต่ดูจากหลักพื้นฐานทั่วไป คือ ทำเลต้องมาก่อน คอนโดฯต้องอยู่ในเมือง การดีไซน์ทุกอย่างเราเน้นคุณภาพสูงมาก ถือว่าเราเป็นผู้นำเรื่องการดีไซน์"
ในปี 2559 แบรนด์มาลาดายังคงรุกตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยยึดหัวหาดโซนอำเภอหางดง บนถนนสายเชียงใหม่-หางดง ซึ่งถือเป็นโซนใหญ่ มีการเติบโตค่อนข้างสูงในเชิงเศรษฐกิจ ปักหมุดโครงการ "มาลาดา เมซ" (MALADA MAZ) มูลค่าการลงทุนราว 220 ล้านบาท บนเนื้อที่ 15 ไร่ เป็นโครงการทาวน์โฮม 115 ยูนิต ที่เน้นการดีไซน์ทันสมัย แตกต่างจากทาวน์โฮมทั่วไป และฟังก์ชั่น การใช้สอยที่ครบ ลงตัว เจาะกลุ่มกำลังซื้อระดับกลาง-บน ซึ่งยอดขายขณะนี้เกิน 70% แล้ว และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะปิดการขายได้ทั้งหมด
ล่าสุดการลงทุนโครงการที่ 5 ในปี 2560 ทุ่มทุนกว่า 200 ล้านบาท ปักธงโครงการบ้านเดี่ยว "มาลาดา แม่ริม" ด้วยบ้านสไตล์ โมเดิร์นวินเทจ โซนอำเภอแม่ริม บนเนื้อที่ 19 ไร่ จำนวน 81 ยูนิต อยู่ตรงข้าม อบต.แม่สา ติดกับสนามกอล์ฟกรีนวัลเลย์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างแล้ว 50% คาดว่าราวกลางปี 2561 จะปิดการขายได้ทั้งหมด
อสังหาฯคือการนับเลข
ศรีมาลาบอกว่า การลงทุนบ้านเดี่ยวโครงการที่ 5 ถือได้ว่าแบรนด์มาลาดาได้ทำอสังหาฯครบทุกเซ็กเมนต์ ทำให้รู้ถึงความต้องการของตลาดที่แท้จริง ซึ่งโซนแม่ริมมีซัพพลายอสังหาฯค่อนข้างน้อยมาก และเป็นโซนที่มาลาดายังไม่เคยเข้ามา เมื่อซื้อที่ดินได้ทำเลสวย จึงตัดสินใจทำ ขณะที่คู่แข่งมีค่อนข้างน้อย จึงเป็นโอกาสทางการตลาด
"เศรษฐกิจไม่ดี นักลงทุนไม่กล้าลงทุน แต่เรามองว่ามันคือโอกาสที่เราจะเปิดโครงการในช่วงนี้ เพราะความต้องการซื้อของลูกค้าตัวจริงมีเข้ามาเยอะ ถ้าเรามีโปรดักต์ที่ใช่และมีคุณภาพ เราไม่ต้องรอเศรษฐกิจ เพราะดีมานด์เกิดขึ้นทุกวัน"
สำหรับยอดขายของโครงการมาลาดาตั้งแต่โครงการแรกจนถึงโครงการที่ทำในปี 2559 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 30% และในปี 2560 ก็คาดว่าจะเติบโตราว 30% เช่นกัน
จากจุดเริ่มต้นที่ไม่มีประสบการณ์ แต่เพราะกล้าที่จะลงทุน และขอเรียนรู้ ประสบการณ์ระหว่างทางที่ทำ ทำให้ ตอนนี้กลายเป็นเรื่องง่าย สามารถหลับตาทำได้เลยสำหรับศรีมาลา และมีแฟนคลับมาลาดาคอยติดตามโครงการอย่างต่อเนื่อง
"การทำอสังหาฯก็เหมือนการนับเลข 1 2 3 4 เพียงแค่เรายึดถือว่าต้องเป็น Step การทำทุกอย่างต้องเป็นลำดับขั้น ที่ยากที่สุดคือการสร้างความน่าเชื่อถือ หากลูกค้า ซัพพลายเออร์ ผู้รับเหมา ธนาคาร ให้ใจกับเรา ทุกอย่างจะง่ายมาก ความน่าเชื่อถือจึงสำคัญมากสำหรับเรา"
รุกลงทุนไม่หยุด
แผนของมาลาดาจะยังคงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2561 ถ้าไซซ์ ของโครงการไม่ใหญ่ อาจลงทุน 2-3 โครงการ โซนที่วางแผนขยายการลงทุน ได้แก่ อำเภอแม่ริม อำเภอหางดง และอำเภอสันกำแพง (สายใหม่) โดยทั้ง 3 โซนมีที่ดินที่ซื้อเก็บไว้แล้ว อำเภอหางดงมีที่ดิน 20 ไร่ อยู่ในทำเลใกล้กับห้าง คอมมิวนิตี้มอลล์กาดฝรั่ง คาดว่าจะลงทุนทำบ้านเดี่ยวในราคาที่จับต้องได้
ส่วนโซนอำเภอสันกำแพงมีที่ดิน 40 ไร่ วางแผนว่าจะลงทุนทำบ้านเดี่ยวเช่นกัน ส่วนแม่ริมขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน ซึ่งคาดว่าจะทำโครงการบ้านเดี่ยว
ศรีมาลากล่าวว่า การไม่มีประสบการณ์แต่ถ้าได้ลงมือทำก็จะเกิดการเรียนรู้ ปัจจัยสำคัญเกิดจากตัวเองทำแล้วมีความสุข ไม่คิดว่าเป็นการทำธุรกิจ แต่ละโครงการที่ทำคิดเสมอว่าคืองานอดิเรก แต่เป็นงานอดิเรกที่ทำแล้วได้เงินด้วย ที่สำคัญต้องมีทีมงานที่ดี และสร้างบ้านที่ใช่
นับว่าเป็นดีเวลอปเปอร์ป้ายแดงที่มีหลักคิดน่าสนใจกับ 4 ปีที่ปั้นแบรนด์ "มาลาดา" ให้พุ่งทะยานในตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ ด้วยมูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท
ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ