น.ส.บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงสถิติการ จดทะเบียนธุรกิจเดือนเม.ย.60 ว่า มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศ 4,783 ราย เพิ่มขึ้น 20% เทียบกับเดือน เม.ย.59 โดยมีทุนจดทะเบียน 21,832 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75% เพราะมีธุรกิจ 4 รายที่มีทุนเกิน 1,000 ล้านบาท เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3 ราย เพราะนำที่ดินว่างเปล่ามาใช้ประโยชน์หลังจากที่รัฐบาลจะเก็บภาษีที่ดินที่ไม่ใช้ประโยชน์ หากร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ...มีผลบังคับใช้เร็วๆ นี้ ส่วนอีก1 ราย เป็นธุรกิจเกี่ยวกับสาธารณูปโภคขนาดใหญ่

สำหรับประเภทธุรกิจที่จดทะเบียนตั้งใหม่สูงสุด เช่น ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 425 รายธุรกิจโฮลดิ้ง 362 ราย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 273 ราย ธุรกิจร้านขายปลีกเครื่องประดับ 236 รายธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 109 ราย ขณะที่การจดทะเบียนจัดตั้งในช่วง 4 เดือน (ม.ค.-เม.ย.) ปี 60 มี 23,500 ราย เพิ่มขึ้น 10% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีทุนจดทะเบียนจัดตั้ง 91,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% ส่วนการจดทะเบียนนิติบุคคลเลิกเดือน เม.ย.60 มี 878 ราย ลดลง 2% เทียบกับเดือนเม.ย.59 โดยมีทุนจดทะเบียนเลิก 3,952 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% ขณะที่ช่วง 4 เดือนปี 60 จดทะเบียนเลิก 3,859 ราย ลดลง 14% และมีทุนจดทะเบียนเลิก 13,000 ล้านบาท ลดลง 75%

น.ส.บรรจงจิตต์กล่าวต่อถึงการพบกับผู้แทนธนาคารโลก ที่มาสำรวจข้อมูลความยากง่ายในการทำธุรกิจของไทยว่า ได้ชี้แจงความคืบหน้าการปรับปรุงขั้นตอนการเริ่มต้นธุรกิจ ซึ่งลดทั้งขั้นตอนระยะเวลา และต้นทุนการจดทะเบียนลง โดยลดขั้นตอนจากเดิม 5 ขั้นตอน ใช้เวลา 25.5 วัน เหลือเพียง 3 ขั้นตอน ใช้เวลา 2 วัน และลดค่าใช้จ่ายจาก 6,600 บาท เหลือ 5,800 บาท มั่นใจจะส่งผลให้การจัดอันดับการเริ่มต้นธุรกิจของไทย ที่จะประกาศผลในเดือน ต.ค.นี้ ดีขึ้น

ด้าน พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังนายอูลริคซาเกาผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และคณะทีมวิจัยจากธนาคารโลกเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า การพบปะครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่ธนาคารโลกจะให้คำแนะนำแก่ไทย ซึ่งรัฐบาลไทยมุ่งมั่นเร่งรัดจัดระบบ และปฏิรูปงานบริการของภาครัฐ เพื่อให้เอื้อต่อการลงทุนในไทย "ไทยยินดีต้อนรับนักลงทุนต่างชาติ พร้อมเร่งรัดให้ทุกภาคส่วนร่วมผลักดันให้อันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของไทยดีขึ้น โดยตั้งเป้าหมายให้อันดับความยาก-ง่ายอยู่ใน 30 อันดับแรก จากปัจจุบันอยู่ที่ 46"

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ