เจริญถอนบิ๊กซีจากตลาดหุ้น มาร์เกตแคปหาย3แสนล้านบ.
Loading

เจริญถอนบิ๊กซีจากตลาดหุ้น มาร์เกตแคปหาย3แสนล้านบ.

วันที่ : 16 พฤษภาคม 2560
เจริญถอนบิ๊กซีจากตลาดหุ้น มาร์เกตแคปหาย3แสนล้านบ.

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า  ที่ประชุมคณะกรรมการ บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ หรือ บีเจซี ซึ่งมีนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการ ได้อนุมัติให้บริษัท หรือ บริษัทย่อยเข้าทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ บมจ.บิ๊กซี ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ จำนวน 17 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.06% ของทุนที่ออกและชำระแล้วของบิ๊กซี เพื่อการเพิกถอนหุ้นของบิ๊กซีออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะทำคำเสนอซื้อหุ้นบิ๊กซีในราคา 225.00 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 3,800 ล้านบาท

"สาเหตุที่เพิกถอนเพื่อแก้ปัญหาและลดภาระค่าธรรมเนียมที่จะเกิดขึ้นจากการกระจายการถือหุ้นที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การดำรงตำแหน่งสถานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมีบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง  เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ โดยในวันที่ 16 มิ.ย.นี้  จะมีการประชุมชี้แจงเพื่อเสนอแนะความเห็นเกี่ยวกับการขอถอนหุ้นและประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขอมติดังกล่าว โดยปัจจุบันกลุ่มบริษัทบีเจซีเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบิ๊กซีอยู่แล้ว คิดเป็น 97.94%"

อย่างไรก็ตาม การขอเพิกถอนหุ้นของบิ๊กซีออกจากตลาด หลักทรัพย์ส่งผลให้มูลค่าราคาตลาดหรือมาร์เกตแคป หายไปจากตลาดประมาณกว่า 190,000 ล้านบาท ก่อนหน้านี้ บริษัท แอสเสท เวิรด์  ของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯว่า มีความประสงค์ที่จะเสนอซื้อทรัพย์สินของ 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าไทยโฮเทลอินเวสเม้นต์ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าไทยคอมเมอร์เชียลอินเวสเม้นต์  กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยรีเทล อินเวสเม้นต์ เมื่อเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา มูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาท

นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทในกลุ่มของนายเจริญ แจ้งการทำ คำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดและทรัพย์สินออกจากตลาดหุ้น 2 กรณีใหญ่ ๆ คือบิ๊กซี และในกองทุน รวมอสังหาฯ มูลค่ารวมมาร์เกตแคปประมาณ 300,000 ล้านบาท เนื่องจากกลุ่มบริษัทของ นายเจริญอยู่ระหว่างการจัดโครงสร้างทรัพย์สินใหม่ของบริษัทในเครือ อย่างไรก็ตามแม้มูลค่ามาร์เกตแคป หายไปจำนวนมหาศาลแต่เชื่อว่าไม่กระทบต่อภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์ไทย เพราะเชื่อว่าในอนาคตกลุ่มของนายเจริญก็จะมีบริษัทใหม่ ๆ เข้ามาระดมทุนในตลาดฯ ต่อเนื่อง

ในปีนี้ตลาดคาดว่าจะบริษัทเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกหรือไอพีโอมูลค่ามาร์เกตแคป 280,000 ล้านบาท หลังจากที่ผ่านมามีการเข้ามาระดมแล้วเกือบ 100,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามยอมรับว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศหรือไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ที่คาดว่าจะเข้าซื้อขายได้ภายในช่วงกลางปีนี้ โดยมีมูลค่าเริ่มต้นที่ 40,000-50,000 ล้านบาทได้เลื่อนมาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาดึงบริษัทไทยจดในต่างประเทศกลับมาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นตลาดที่ 2 หรือ ดูโอลิสติ้ง คาดว่าจะทยอยกลับมาจดทะเบียนในไทยได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

นายคเณศ วังส์ไพจิตร เลขาธิการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ระดับ 100.89 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 11.69% จากภาพรวมภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศมีการปรับตัวดีขึ้น ส่วนปัจจัยที่กระทบ ต่อตลาดหุ้นมากสุดคือปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศที่อาจส่งผลต่อความผัน ผวนของเงินทุนจากต่างประเทศในตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์