A ประเมินตลาดอสังหาทรงตัว แม้ดีมานด์ลูกค้ายังอยู่ในระดับที่ดี แต่รับผลกระทบจากแบงก์ปฏิเสธสินเชื่อหลังตัวเลขหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ปรับกลยุทธ์เน้นโครงการพรีเมียม เจาะฐานลูกค้าต่างประเทศ หนุนรายได้เติบโต 38%

นายวิวัฒน์ เลาหพูนรังษี กรรมการบริหาร บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ A เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2560 มองว่ายังอยู่ในระดับทรงตัวหรือมีการเติบโตได้ในบางกลุ่ม ซึ่งความต้องการซื้อของลูกค้ายังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี แต่โครงการในระดับกลางและระดับล่างจะมีปัญหาจากการที่ลูกค้าไม่สามารถรับโอนได้ เนื่องจากสถาบันการเงินปฏิเสธสินเชื่อ ซึ่งเป็นผลจากตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้สถาบันการเงินต่างเพิ่มความระมัดระวังต่อปัญหาหนี้เสีย

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์มาเน้นเปิดโครงการระดับลักซ์ชัวรี่เพื่อเน้นกลุ่มลูกค้าระดับบนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากลูกค้ากลุ่มดังกล่าวยังมีความสามารถในการซื้อค่อนข้างสูง โดยจะมีทั้งการซื้อเพื่อลงทุน หรืออาจเป็นโครงการที่เน้นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่มีความต้องการเข้าซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ซึ่งมีการวางเป้าหมายปรับลดสัดส่วนโครงการระดับกลาง-ล่างในช่วงปลายปีนี้เหลือ 35% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 40-45% และเน้นพัฒนาโครงการระดับบนรองรับความต้องการของตลาด โดยมีเป้าหมายขยายฐานลูกค้าต่างชาติ ซึ่งตั้งเป้ายอดขายจากลูกค้าต่างชาติไว้ที่ 500 ล้านบาท จากปีก่อนที่ยอดขายอยู่ในหลัก 10 ล้านบาท

ยอดขาย Q2 ขยายตัว

สำหรับทิศทางธุรกิจในช่วงไตรมาส 2/2560 บริษัทได้มีการตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ประมาณ 2-2.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2560 ที่มียอดขายอยู่ที่ 2.21 พันล้านบาท โดยในไตรมาสนี้บริษัทจะมีการเปิดโครงการใหม่จำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการละประมาณ 3 พันล้านบาท ซึ่งจะเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ขณะที่บริษัทตั้งเป้ายอดโอนในไตรมาส 2/2560 ไว้ที่ประมาณ 1.6 พันล้านบาท แบ่งเป็นยอดโอนจากโครงการแนวราบ 1.2 พันล้านบาท และยอดโอนจากโครงการคอนโดมิเนียมอีกประมาณ 400 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าภาพรวมผลประกอบการในปี 2560 จะมีการเติบโตได้ดี โดยคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ (Backlog) 6.4 พันล้านบาท และตั้งเป้ารายได้เติบโต 35-38% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้บริษัทวางแผนการเปิดโครงการใหม่ 11 โครงการ ซึ่งในครึ่งปีแรกมีการเปิดตัว 4-5 โครงการ และครึ่งปีหลังจะมีการเปิดโครงการใหม่อีก 7 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท

ที่มา : หนังสือพิมพ์ทันหุ้น