ทุนต่างชาติแห่ซื้ออสังหาฯ ไทย ชี้มั่นใจผลตอบแทน ล่าสุดกองทุนสิงคโปร์ทุ่มกว่า 1,600 ล้าน ซื้อคอนโดสิงห์ฯ ด้านแสนสิริโชว์ยอดขายต่างชาติทะลุ 3,000 ล้าน

          นายวิลเลียม โลค กรรมการผู้จัดการ ทริลเลียน โกลบอล เปิดเผยว่า บริษัทมองเห็นถึงโอกาสการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ซึ่งน่าจะสร้างผลตอบแทน ที่ดีได้ในอนาคต เพราะด้วยศักยภาพของประเทศไทยที่จะเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน

          ขณะที่ราคาอสังหาฯ ในไทยมีมูลค่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ บริษัทซึ่งเป็นพันธมิตรกับบริษัท สิงห์ เอสเตท ด้วยการลงทุนซื้อห้องชุดในโครงการดิ เอส อโศก มูลค่ากว่า 900 ล้านบาท ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับดีจากการโรดโชว์ทั้งใน จีน ฮ่องกง ไต้หวัน

          ทั้งนี้ ล่าสุดได้ลงทุนเพิ่มในโครงการดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ลักซ์ชัวรี่คอนโดมูลค่าการลงทุน 760 ล้านบาท จำนวน 69 ยูนิต จากยูนิตทั้งหมด 319 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 8.6 ล้านบาท ซึ่งเป็นห้อง 1 ห้องนอน ขนาด 34.75 ตารางเมตร ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเช่นกัน เนื่องจากโครงการตั้งอยู่บนทำเลแยกอโศก-เพชรบุรี และเป็นส่วนหนึ่งของสิงห์ คอมเพล็กซ์ แฟล็กชิป มิกซ์ ยูส

          นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า การร่วมทำธุรกิจกับทางทริลเลียน โกลบอล เป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดและการขายคอนโดของบริษัทในต่างประเทศ โดยมียอดขายทั้งสองโครงการรวม 1,660 ล้านบาท ส่งผลให้ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ทำยอดขายได้เกินเป้าที่ตั้งไว้ ปัจจุบันมียอดจองรวมกว่า 80% มูลค่ากว่า 3,300 ล้านบาท ซี่งเป็นยอดจองกว่า 1,000 ล้านบาท

          ขณะที่ น.ส.พัชรพร สิริทรัพย์วงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ ไป่ตู้ แอคเซส กล่าวว่า นักลงทุนจีนสนใจซื้ออสังหาฯ เพื่อการลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากที่ดินในประเทศจีนมีราคาที่สูงกว่าไทยประมาณ 20% อีกทั้งอสังหาฯ ไทยมีอัตราการเติบโตและมีการแข่งขันสูง ทำให้ชาวจีนจำนวนมากเลือกที่จะเข้ามาลงทุนมากกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย โดยในปี 2559 มีเงินลงทุนจากชาวจีนที่เข้ามาประกอบธุรกิจในไทยกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท คาดว่าในปีนี้จะมีการเติบโตอีกราว 30%

          ด้าน นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ กล่าวว่า โครงการของบริษัทได้รับการตอบที่ดีจากลูกค้าในต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนมีสัดส่วนถึง 30-40% รองลงมาคือ ฮ่องกง 30% ปัจจุบันมียอดขายจากลูกค้าต่างประเทศ 3,300 ล้านบาท จากเป้าทั้งปีที่วางไว้ 8,000 ล้านบาท มองว่ากำลังซื้อในครึ่งปีหลังยังดีต่อเนื่อง ทั้งนี้เล็งขยายตลาดไปในยุโรป เช่น อังกฤษ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณา

ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์