แห่ลงทุนมิกซ์ยูสร้อนฉ่า เผย14ทำเลจ่อเปิดโครงการ ดัน8ปีเพิ่มพื้นที่ให้เช่ากว่า1ล้านตร.ม
จับตาโครงการมิกซ์ยูสพลิกโฉม ลงทุนอสังหาฯ เมเจอร์ฯ ยึดโซนพระราม 9- รามคำแหงนำร่อง
นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผยว่า การพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูสซึ่งเป็นแนวคิดการผสมผสาน ระหว่างอสังหาฯ เพื่อการอยู่อาศัยและเพื่อการ พาณิชย์ ทั้งพื้นที่ค้าปลีกรวมทั้งอาคารสำนักงาน หรือออฟฟิศ กำลังเป็นที่นิยมของการพัฒนาอสังหาฯ ในปัจจุบัน
สำหรับโครงการมิกซ์ยูสจะมีทั้งโครงการที่พัฒนาขายกรรมสิทธิ์ เช่น ทำเลสุขุมวิท เพลินจิต เจริญนคร พระราม 3 นราธิวาสราชนครินทร์ เพชรบุรี ส่วนที่ดินเช่าระยะยาวก็มีการพัฒนา โครงการเช่าตั้งแต่มากกว่า 1 ปี ไปจนถึง 30 ปี เช่น ทำเลหลังสวน พระราม 1 พระราม 4 เพลินจิต วิทยุ ราชดำริ และรัชดาภิเษก เป็นต้น
ทั้งนี้ ในอนาคตอันใกล้จะมีโครงการมิกซ์ยูส เปิดตัวถึง 14 ทำเล เช่น รังสิต ซีคอนซิตี้ เมกาซิตี้ สถานทูตอังกฤษ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นต้น และเป็นโครงการขนาดใหญ่ไม่น้อยกว่า 8 โครงการ เช่น วิซส์ดอม 101 ไอคอนสยาม เป็นต้น โดยปัจจัยที่ทำให้มีการพัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูสก็คือที่ดินแปลงใหญ่ จำเป็นต้องพัฒนาแบบผสมผสาน หรือกรณี ที่ดินด้อยศักยภาพ เช่น ที่ดินตาบอด การพัฒนา จะช่วยเพิ่มมูลค่าและความน่าสนใจของโครงการ อีกทั้งยังทำให้ศักยภาพที่ดินและพื้นที่โดยรอบ มีมูลค่าสูงขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ดี โครงการมิกซ์ยูสต่างๆ ที่กำลัง พัฒนาและจะทยอยสร้างเสร็จในช่วง 7-8 ปี ข้างหน้าคาดการณ์ว่า สิ่งที่ตามมาหลังจาก โครงการมิกซ์ยูสแล้วเสร็จในปี 2568 ก็คือ การเกิดขึ้นของอาคารสำนักงานจะมีถึง 6.5 แสนตารางเมตร (ตร.ม.) พื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้น 5.1 แสน ตร.ม. คอนโดมิเนียมเพิ่ม 1.17 หมื่นยูนิต โรงแรมเพิ่ม 5,200 ห้อง และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์เพิ่ม 2,500 ห้อง
ขณะที่ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าจะมีอสังหาฯ เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะโครงการพาณิชยกรรมที่จะเพิ่มขึ้นถึง 1.16 ล้าน ตร.ม. ทั้งหมดอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยเฉพาะพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ อาจจะส่งผลกระทบต่ออาคารสำนักงานในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลว่าต้องมีดีมานด์มากเท่าไหร่จึงจะสามารถดูดซับ ตัวเลขเหล่านี้ได้หมด
ด้าน เพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการและ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า ตามแผนงานในปีนี้บริษัทเตรียมเปิด 10 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 1.5 หมื่น ล้านบาท แบ่งเป็น ออฟฟิศ คอนโดมิเนียมทั้งไฮไลต์และโลว์ไรส์ รวม 1.3 หมื่นล้านบาท โครงการแนวราบมูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บริษัทหันมารุกพัฒนาบ้านแนวราบระดับไฮเอนด์ภายใต้แบรนด์ใหม่ ซึ่งจะมีการเปิดตัวใน 2 ทำเล
ขณะเดียวกันยังขยายธุรกิจโรงแรม ออฟฟิศ และรีเทลเพื่อสร้างรายได้ระยะยาว โดยในไตรมาส 3 ปีนี้เตรียมเปิดโครงการมิกซ์ยูสที่ พระราม 9-รามคำแหง มีทั้งออฟฟิศและคอนโดมิเนียม มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท
ทั้งนี้การพัฒนาแต่ละโครงการจะดูที่ ศักยภาพทำเลและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค เป็นหลักซึ่งการพัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูสสามารถ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ได้ดี บริษัทมีแผนพัฒนาต่อเนื่องทุกปีเพิ่มเติม ทั้งนี้เพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายในปี 2564 จะมีพื้นที่เช่ารวม 1.5 แสน ตร.ม. ซึ่งบริษัทมี รายได้จากค่าเช่าอยู่ที่ 100 ล้านบาท/เดือน และจะส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากค่าเช่าอยู่ราว 20% ของรายได้รวม 1 หมื่นล้านบาท
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์