JSPย้ำยอดขายปีนี้6,800ล้าน เล็งเปิดใหม่ 4 โครงการ มูลค่า 1,967ล้าน
“JSP” คงเป้ายอดขายปีนี้มาตามนัด 6,800 ล้านบาท เตรียมเปิดใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,967 ล้านบาท พร้อมขยายเฟสใหม่ในโครงการเดิม 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 586 ล้านบาท
นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล ประธานคณะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขาย (Presale) รวมในปีนี้ไว้ที่ 6,800 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทยังไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่ยังคงมีการทำยอดขายจากการจัดแคมเปญต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ จำนวน 4 โครงการ รวมจำนวน 686 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,967 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการ เจ วิลล่า รัตนาธิเบศร์ บางบัวทอง เป็นโครงการบ้านแฝด จำนวน 182 ยูนิต มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้นที่ 4.4 ล้านบาทต่อยูนิต
2.โครงการ เจ ทาวน์ เอ็กซ์คลูซีพ บางปะกง บ้านโพธิ์ เป็นโครงการทาวน์โฮม จำนวน 55 ยูนิต มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้นที่ 1.9 ล้านบาทต่อยูนิต 3.โครงการ เจซิตี้ บางพระ-ฉะเชิงเทรา เป็นโครงการทาวน์โฮม จำนวน 409 ยูนิต มูลค่าโครงการ 860 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้นที่ 2.1 ล้านบาทต่อยูนิต และ 4.โครงการ เจ บิซ วงแหวนบางใหญ่ เป็นโครงการอาคารพาณิชย์ จำนวน 40 ยูนิต มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้นที่ 5 ล้านบาทต่อยูนิต
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนขยายเฟสใหม่ในโครงการเดิมเพิ่มอีกจำนวน 4 เฟส รวมจำนวน 127 ยูนิต มูลค่ารวม 586 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการ เจ ซิตี้ รัตนาธิเบศร์ บางบัวทอง เป็นโครงการอาคารพาณิชย์ จำนวน 10 ยูนิต มูลค่าโครงการ 70 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้นที่ 7 ล้านบาทต่อยูนิต 2.โครงการ เจ เอเวนิว รัตนาธิเบศร์ บางบัวทอง เป็นโครงการทาวน์โฮม จำนวน 22 ยูนิต มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้นที่ 4.55 ล้านบาทต่อยูนิต
3.โครงการ เจ ซิตี้ ศรีราชา-อัญสัมชัญ เป็นโครงการอาคารพาณิชย์ จำนวน 16 ยูนิต มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้นที่ 6.3 ล้านบาทต่อยูนิต และ 4.โครงการ เจ ซิตี้ ติวานนท์ บางกะดี เป็นโครงการบ้านแฝด จำนวน 67 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 3.6 ล้านบาทต่อยูนิต และบ้านเดี่ยว จำนวน 12 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 6.4 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการรวม 316 ล้านบาท
ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังมองว่ายังสามารถเติบโตได้ แต่เป็นการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์และปรับสินค้าที่เตรียมจะเปิดขาย เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน เช่นเดียวกับการปรับตัวของบริษัท ซึ่งในปีนี้บริษัทมีการเปิดตัวโครงการเป็นแนวราบมากขึ้น เพื่อให้มีการรับรู้รายได้ที่เร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2/2561 บริษัทจะแจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังมีการประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2561 นี้