นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ในปี 2568 รายได้รวมจากทุกกลุ่มธุรกิจจะอยู่ที่ 25,000 ล้านบาท เติบโต 11% จากปีก่อน โดยสัดส่วน รายได้จะมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย เพื่อขายเป็นหลัก ซึ่งสัดส่วน 92% ของรายได้รวม และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สร้างรายได้ประจำ รวมถึงการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ที่เป็นโอกาสในอนาคต ซึ่งจะสัดส่วนรวมกันที่ 8% ของรายได้รวม

    ทั้งนี้ ในปี 2568 บริษัทปรับตัวครั้งสำคัญ ด้วยการ Reform (ปรับ) ใน 3 เรื่อง ประกอบด้วย 1.ปรับพอร์ตโฟลิโอธุรกิจ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม เพื่อเพิ่มความหลากหลายของช่องทางการรับรู้รายได้ และเป็นการกระจายความเสี่ยง ได้แก่ Engine 1 ธุรกิจอสังหาฯ ที่อยู่อาศัยเพื่อขาย, Engine 2 ธุรกิจอสังหาฯ สร้างรายได้ประจำ (โรงแรม คลังสินค้า อาคารสำนักงาน และอพาร์ตเมนต์ใน USA) และEngine 3 โอกาสใหม่ ซึ่งจะเป็นการลงทุน ในธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต 2.ปรับโครงสร้างต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม เน้นย้ำคุณภาพสูง นวัตกรรมตอบโจทย์ลูกค้า และเพิ่มความสามารถในการทำกำไร เบื้องต้นคาดว่าจากการปรับโครงสร้างต้นทุนและค่าใช้จ่ายในปี 2568 จะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทกลับมาอยู่ที่ระดับ 20-30% ได้ และ3.ปรับโครงสร้างองค์กร เพิ่มความคล่องตัวรองรับการเติบโตของธุรกิจที่หลากหลาย และเพิ่มโอกาสเติบโตของพนักงาน

    สำหรับธุรกิจอสังหาฯ ที่อยู่อาศัยเพื่อขายการเติบโตในปี 2568 จะมาจากการส่งมอบโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 40% และโครงการคอนโดมิเนียม 60% ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปี 2568 ประมาณ 40% ส่วนที่เหลือจะรับรู้ในปีถัดไป อีกทั้งบริษัทยังมีสินค้าพร้อมขาย (Inventory) เพียงพอสำหรับรองรับการขายในช่วง 3 เดือนจากนี้ จาก 9% โครงการ มูลค่าโครงการรวม 94,500 ล้านบาท

    ขณะที่ในปี 2568 บริษัทวางเป้าหมายยอดขาย (Presale) ที่ 26,000 ล้านบาท เติบโต 4% จากปีก่อน โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 12 โครงการ มูลค่าโครงการ 18,000 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 10,000 ล้านบาท

    ส่วนอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำ ล่าสุดบริษัทมีจำนวนโครงการรวมทั้งหมด 19 โครงการ จาก 4 ธุรกิจ ได้แก่ โรงแรมรวม 545 ห้อง, คลังสินค้าให้เช่ารวม 200,000 ตารางเมตร, อาคารสำนักงาน 120,000 ตารางเมตร และอพาร์ตเมนต์เพื่อเช่าในสหรัฐอเมริกา 5 อาคาร โดยในช่วงกลางปี 2568 จะมีการเปิดให้บริการโรงแรมใหม่ใน 2 ทำเล ได้แก่ KROMO,, Curio Collection by Hilton ทำเลติดถนนสุขุมวิท ตรงข้ามห้าง EmSphere และ The Standard หนึ่งเดียวในพัทยา ติดหาดนาจอมเทียน ซึ่งบริษัทวางเป้าหมายภายใน 3 ปีจากนี้ จะมีห้องพักให้บริการที่ระดับ 1,000 ห้อง จากปัจจุบันที่มี 545 ห้อง ขณะที่คลังสินค้าเพื่อเช่า จะมีการให้บริการเพิ่ม 3 โครงการใหม่ ในทำเลบางนา กม. 20, แหลมฉบัง และนิคมอมตะ ชลบุรี

    ทั้งนี้ ในปี 2568 บริษัทได้วางงบลงทุนไว้ที่ 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็นประมาณ 80% ใช้ในธุรกิจ Engine 1 คือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ส่วนที่เหลืออีก 20% จะใช้ใน Engine 2 และ Engine 3 คือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยเพื่อขาย และโอกาสลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ส่วนงบลงทุนในปี 2569 และปี 2570 ยังต้องดูสถานการณ์อีกครั้ง