ปัจจุบันนักลงทุนรักษ์โลกหันมาสนใจพื้นที่สร้างโรงงานคาร์บอนต่ำ รวมถึงเทรนด์การย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น นิคมฯ เอส อ่างทอง มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคแบบครบวงจร ทั้งระบบผลิตน้ำประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย พลังงานไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ พลังงานไอน้ำ พลังงานสะอาด รวมทั้งการให้บริการด้านวิศวกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนในอนาคต

   ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผลกระทบจากมลพิษทางอากาศอย่างเช่น ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และภัยธรรมชาติจากภาวะโลกรวน หรือ Climate Change เริ่มทวีความรุนแรงและส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพของผู้คนมากยิ่งขึ้น จนทำให้ผู้บริโภคทั่วโลก รวมถึงคนไทย เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายและหันมาให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อสินค้าที่ผลิตจากกระบวนการที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และใช้วัสดุที่ปลอดสารเคมีมากขึ้น จากผลสำรวจของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ล่าสุดในปี 2567 พบว่า 58% ของผู้บริโภคเต็มใจที่จะจ่ายเงินซื้อสินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลโลก โดยปัจจุบันทุกภาคอุตสาหกรรมต่างขานรับนโยบายด้านความยั่งยืน และนำมาปรับใช้กับธุรกิจของตนอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยความมุ่งหวังในการแก้ปัญหาภาวะโลกรวนและส่งมอบโลกที่น่าอยู่ให้คนรุ่นหลังสืบไป

   เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

   นายจิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า จระเข้ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด "เราอยู่ได้-โลกอยู่ดี-สังคมมีสุข" คือสร้างสรรค์นวัตกรรมก่อสร้างที่ยกระดับชีวิตของผู้คนและดูแลสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันมากว่า 32 ปี โดยหนึ่งมิติสำคัญในเฟรมเวิร์กนี้คือ การนำเสนอ JORAKAY GREEN PRODUCTS ผลิตภัณฑ์ที่ชูความปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล พร้อมสอดรับกับพฤติกรรมของคนยุคใหม่ที่หันมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น

   ดังนั้นจึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดในกลุ่มวัสดุแตกแต่ง "จระเข้ คิ้ว GREEN" ชูนวัตกรรม GPVC รายแรกในไทยกับพีวีซีปลอดสารอันตราย ไร้สารตะกั่ว ไร้แคดเมียม และปลอดโลหะอันตรายมากกว่า 20 ชนิด ทั้งยังคงคุณภาพ ความทนทานและความยืดหยุ่นสูง และมาพร้อมเทคโนโลยียับยั้งการเกิดเชื้อราและแบคทีเรีย ในอนาคตเราจะยังเดินหน้าขยายไลน์อัปนวัตกรรมก่อสร้างรักษ์โลก เพื่อร่วมขับเคลื่อนวงการก่อสร้างสู่ความยั่งยืน พร้อมตอกย้ำว่าธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อม

   "จระเข้ คิ้ว GREEN นำเสนอมาตรฐานใหม่ของวัสดุตกแต่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยนวัตกรรม GPVC ที่ปราศจากสารตะกั่ว แคดเมียม และสารโลหะหนักอันตรายกว่า 20 ชนิด พร้อมการรับรองมาตรฐานการผลิตและความปลอดภัยระดับสากลตามหลัก ROHS, REACH, Green Industry ระดับ 3 และ ISO 14001 นอกจากนี้ กระบวนการผลิตทุกขั้นตอนไม่ใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของสารอันตรายในการผลิตและการเจาะรอยตัวอักษร (Punching) ตอกย้ำความเป็นผู้นำของจระเข้ ด้านนวัตกรรมก่อสร้างที่ใส่ใจทั้งคุณภาพ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมอย่างครบวงจร" นายจิรัฏฐ์กล่าว

   ชูนวัตกรรม Bubble Deck

   ขณะที่ นางสาวถิรพร สุวรรณสุต ผู้ช่วยประธานกรรมการบริหาร สายงานส่งเสริมธุรกิจ บริษัท พีดีเฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ระบุว่า ได้ปรับปรุงช่องทางสื่อสารกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย และการนำนวัตกรรมระบบโครงสร้าง Bubble Deck มาใช้ก่อสร้างบ้านแทนโครงสร้างแบบเดิม ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อตอกย้ำให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายและทั่วไปรับรู้ว่า พีดีเฮ้าส์คือ "แบรนด์รับสร้างบ้านประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม"

   ด้าน นางสาวจิราภา สุวรรณสุต ผู้ช่วยประธานกรรมการบริหาร สายงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์และออกแบบ กล่าวเสริมว่า ระบบโครงสร้าง Bubble Deck เป็นเทคโนโลยีก่อสร้างและลิขสิทธิ์จากประเทศเดนมาร์ก โดยทั่วไปจะใช้ในงานก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่หรืออาคารสูง ลักษณะโครงสร้างเป็นพื้นคอนกรีตแบบไร้คาน มีจุดเด่นที่สำคัญหลายประการ เช่น ลดปริมาณการใช้คอนกรีต (คาร์บอนเครดิต) มีความเป็นฉนวนช่วยลดอุณหภูมิเข้าสู่อาคาร (จากพื้นดาดฟ้าหรือพื้นหลังคา) ลดข้อจำกัดการเปลี่ยนแปลงระหว่างทำการก่อสร้าง (ย้ายผนังกั้นห้อง) และช่วยเพิ่มระดับความสูงฝ้าเพดานภายในบ้าน (ไม่มีคาน) ฯลฯ ทั้งนี้ พีดีเฮ้าส์ถือเป็นรายแรกที่จะนำมาใช้กับงานก่อสร้างบ้านหรือบ้านแนวราบ โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายไตรมาสแรกปี 2568 นี้

   นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในองค์กร ด้วยการนำระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) มาใช้วางแผน-ประสานงาน-ติดตามผลงานก่อสร้าง, บริหารงานบัญชี-การเงิน, บริหารงานจัดซื้อจัดจ้าง, ควบคุมและวิเคราะห์ต้นทุนก่อสร้าง และลดการใช้กระดาษในการทำงาน ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงสะท้อนความเป็นแบรนด์รับสร้างบ้านเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมที่จะเติบโตหรือขยายปริมาณงานรับสร้างบ้านได้เมื่อมีโอกาสในอนาคต

   นิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ

   และ เอส อ่างทอง หรือ S.IE. โดย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S โชว์ความสำเร็จด้านการพัฒนาสาธารณูปโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบน้ำและระบบไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพ เดินหน้าส่งต่อนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมมุ่งสู่การเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศบนพื้นที่ยุทธศาสตร์จังหวัดอ่างทอง ด้วยแนวคิด Eco Factory & Green Industry ตอบโจทย์ผู้ประกอบการที่มองหาพื้นที่ทำธุรกิจโรงงานที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อการลงทุนที่ยั่งยืน

    ปัจจุบันนักลงทุนรักษ์โลกหันมาสนใจพื้นที่สร้างโรงงานคาร์บอนต่ำ รวมถึงเทรนด์การย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น นิคมฯ เอส อ่างทอง มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคแบบครบวงจร ทั้งระบบผลิตน้ำประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย พลังงานไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ พลังงานไอน้ำ พลังงานสะอาด รวมทั้งการให้บริการด้านวิศวกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนในอนาคต ทำให้พร้อมรองรับความต้องการของธุรกิจอุตสาหกรรม SME ไปจนถึงนักลงทุนภาคอุตสาหกรรมระดับโลกในด้านต่างๆ ได้ และยังเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศสำหรับเกษตร อาหาร และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ที่สามารถตอบสนองความต้องการของนักลงทุนและผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างครบวงจร

   รวมทั้งเป็น Solution Provider ในการนำเสนอเทคโนโลยีและบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจบริการนวัตกรรมอื่นๆ ให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจควบคู่กับการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการเติบโตไปพร้อมกับสังคมอย่างสมดุลและยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ "Entrusted and Value Enricher" หลักของสิงห์ เอสเตท