MJD ชี้ลดดอกเบี้ยดันกำลังซื้อเพิ่ม เล็งออกแคมเปญกระตุ้นยอดขาย
วันที่ : 28 ตุลาคม 2567
MJD คาดแบงก์พาณิชย์ลดดอกเบี้ย หนุนยอดขาย-ยอดโอนเพิ่ม-ต้นทุนลดลงเหตุกำลังซื้อลูกค้าเพิ่มขึ้น พร้อมลุยออกแคมเปญการตลาดขานรับลดดอกเบี้ย หวังกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้า นอกจากนี้วอนรัฐยืดมาตรการ LTV ของการซื้อบ้านหลังที่สองไปอีก 1 ปี
นางสาวนฑา กิตติอักษร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยว่า การที่ธนาคารพาณิชย์ปรับลดดอกเบี้ยลงนั้น มีผลต่อตลาดทั้งในเชิงบวก และเชิงลบ โดยผลบวกจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงเงินทุน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้การขอสินเชื่อเป็นไปได้ง่ายขึ้น ทั้งผู้ประกอบการ และผู้ซื้อบ้าน ส่งผลให้มีการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยมากขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยกระตุ้นยอดขาย โดยผู้บริโภคจะมีแนวโน้มที่จะซื้อบ้านมากขึ้น เนื่องจากการผ่อนชำระจะต่ำลง ซึ่งสามารถเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทได้ อีกทั้งการลดดอกเบี้ยลงยังลดต้นทุนการก่อสร้างด้วย ซึ่งต้นทุนการก่อสร้างจะต่ำลงจากการลดอัตราดอกเบี้ย
“การลดดอกเบี้ยมีผลส่งเสริมด้านกำลังซื้อของลูกค้าที่กำลังตัดสินใจซื้อโครงการพร้อมอยู่เป็นอย่างมาก เนื่องจากสภาวะผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ ที่ส่งผลให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจ แต่หากดอกเบี้ยลดลงเพื่อช่วยลูกค้าทางด้านการเงิน บริษัทมองว่าจะช่วยเพิ่มยอดขาย และยอดโอนให้กับทางโครงการได้เช่นกัน” นางสาวนฑา กล่าว
ส่วนผลกระทบด้านลบ บริษัทมองว่าจะส่งผลให้การแข่งขันสูงขึ้น ซึ่งการที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ ส่งผลให้มีผู้เล่นใหม่เข้าสู่ตลาดอสังหาฯ มากขึ้น ผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็น MJD เอง หรือผู้ประกอบการอสังหาฯ รายอื่น ๆ ต้องเผชิญการแข่งขันที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ในแง่ของการพึ่งพาเงินทุนภายนอก โดยผู้ประกอบการอสังหาฯ อาจมีความจำเป็นต้องพึ่งพาเงินทุนจากการกู้ยืมมากเกินไป เนื่องจากต้นทุนที่ต่ำลง ทำให้มีความเสี่ยงทางการเงิน หากอัตราดอกเบี้ยกลับมาเพิ่มขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ บริษัทมีการวางแผนการขายและการตลาดให้สอดคล้องกับมาตรการลดดอกเบี้ย เพื่อส่งเสริมโครงการพร้อมเข้าอยู่ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม และโครงการแนวราบ เพื่อส่งเสริมกระตุ้นการขาย และการโอนต่อไป โดยบริษัทได้จัดเตรียมโปรโมชันอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นยอดขาย เช่น ฟรีทุกค่าใช้จ่าย ณ วันโอน เป็นต้น
อย่างไรก็ตามลูกค้าส่วนใหญ่ของ MJD เป็นลูกค้ากลุ่ม luxury ไม่ได้พึ่งพาสินเชื่อบ้านในการกู้เงิน แต่อาจจะส่งผลดีต่อลูกค้าโครงการคอนโดมิเนียมในกลุ่มราคา 4-7 ล้านบาท ทั้งนี้ การลดดอกเบี้ยอาจจะไม่ได้เป็นปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียวที่ทำให้ยอดขายของบริษัทเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่บริษัทมองถึงเรื่องการบังคับใช้มาตรการ LTV ของการซื้อบ้านหลังที่สอง ควรจะมีการยืดระยะเวลาออกไปอีกอย่างน้อย 1 ปี เนื่องจากในปัจจุบันที่กลุ่มลูกค้ามีการซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียมหลังที่สองมากขึ้น และส่วนใหญ่โครงการของบริษัท เป็นโครงการที่อยู่ใน CBD เป็นส่วนใหญ่ หากมีการผ่อนปรนเรื่อง LTV การช่วยกระตุ้นยอดขายจะเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน
“โดยภาพรวม ทั้งผู้ประกอบการ และผู้ซื้อบ้าน ต่างได้รับผลประโยชน์จากนโยบายการลดดอกเบี้ย แต่บริษัทมองว่าต้นทุนทางด้านการเงินที่จะลดลงอาจใช้เวลาประมาณ 1-2 ไตรมาส ถึงจะเห็นการปรับตัวของต้นทุนที่ลดลง แต่ในทางของผู้บริโภคอาจส่งผลกระทบในทันที ซึ่งจะทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์คึกคักขึ้น” นางสาวนฑา กล่าว
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ