อสังหาฯไทยงานหนักแบกสต๊อกอื้อ
Loading

อสังหาฯไทยงานหนักแบกสต๊อกอื้อ

วันที่ : 20 กันยายน 2567
"REIC" ชี้อสังหาริมทรัพย์ไทยงานหนัก แบกสต๊อกเหลือขายมหาศาล ระบุมาตรการอุ้มจากภาครัฐไม่ตรงจุด โชว์ยอดโอน Q2 ยังติดลบ มองเอื้อแค่คอนโดฯ-บ้านมือสอง ผงะ!! ภูเขาหนี้กระจุกกลุ่มเจน Y พบ 80% กู้บ้านไม่ผ่าน ห่วงหนี้จ่อตกชั้นขยับเป็นหนี้เน่ากระหึ่ม
         นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยถึงชุดข้อมูลตลาดที่อยู่อาศัย 10 ปีย้อนหลังของประเทศไทย และมุมมองความท้าทายของตลาดในอนาคต ว่า หากพิจารณา 10 ปีย้อนหลัง (ปี 2557-2567) บ้านจดทะเบียนใหม่ทั่วประเทศเฉลี่ยต่อปีกลับมายืนที่ระดับสูง 1.3-1.4 แสนหน่วย ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะ มีเพียงหลุมดำที่จำนวนหดตัวลงไปบ้าง ท่ามกลางคนไทยเจอทั้งสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา, การแพร่ระบาดของโควิด-19 และกฎเหล็ก ธปท.กำกับการปล่อยสินเชื่อด้วยมาตรการ LTV (เพดานสินเชื่อตามมูลค่าบ้าน)

         ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องพึงระวังคือ อสังหาริมทรัพย์ไทยยังแบกสต๊อกเหลือขายจำนวนมหาศาล และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่ำกว่า 3.5 แสนหน่วย โดยที่มูลค่าไต่ระดับขึ้นมา จาก 8.3 แสนล้านเมื่อ 10 ปีก่อน มาอยู่ที่ 1.57 ล้านล้านบาท ซึ่งมาจากต้นทุนราคาที่ดินที่สูงขึ้น การพัฒนา และราคาซื้อขายที่สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด บางส่วนผู้พัฒนาก็ยอมเฉือนเนื้อตัวเอง ลดกำไร เนื่องจากข้อจำกัดในการเพิ่มราคาทำได้ยากในบางตลาด เพราะกำลังซื้อคนไทยไปไม่ถึง

         "ราคาที่อยู่ในกรุงเทพฯ เฉลี่ยโตขึ้น 5.4% ต่อปี แต่การเติบโตของรายได้เฉลี่ยคนไทยต่อหัวรายปีอยู่ที่ 1.4% เท่านั้น ถ้ามีเงินเดือนไม่ถึง 3 หมื่นบาท อยากซื้อบ้านราคา 7 ล้านบาท โอกาสในการกู้ยากมาก แม้รัฐจะออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ผ่านการลดค่าธรรมเนียมการโอนฯ/การจดจำนอง แต่พบว่าไม่ได้มีผลมากนัก ยอดโอนของไตรมาส 2/2567 ตลาดก็ยังติดลบ 4.5% โดยเฉพาะในกลุ่มที่รัฐสนับสนุนบ้านไม่เกิน 7 ล้านบาท สถิติติดลบทุกโปรดักต์ มาตรการดังกล่าวให้ผลเชิงบวกแค่ในตลาดคอนโดฯ กับบ้านมือสองเท่านั้น" นายวิชัยกล่าว

         นายเผด็จ เจริญศิวกรณ์ รองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) กล่าวว่า ขณะนี้คนไทยกำลังเผชิญกับปัญหารายได้กับรายจ่ายไม่สอดคล้องกัน แต่ที่น่ากังวลกว่าคือ มีคนไทยจำนวนมากที่มีหนี้มากกว่ารายได้ ซึ่งก็ล้วนแล้วมาจากปัญหาเศรษฐกิจแทบทั้งสิ้น ทำให้ปัจจุบันคนไทยมีภาระหนี้สูงมากเป็นประวัติการณ์ เฉลี่ยกว่า 6 แสนบาทต่อครัวเรือน

         "สิ่งที่ต้องติดตามคือ ในอนาคตคนไทยจะขอสินเชื่อบ้านได้ยากขึ้น เพราะปัจจุบันคนมักเลือกเป็นหนี้ส่วนบุคคลและซื้อรถก่อนซื้อบ้าน ด้วยจำนวนมูลหนี้ที่เยอะ ขณะที่คุณภาพของลูกหนี้ค่อยๆ แย่ลง" นายเผด็จกล่าว

         อย่างไรก็ดี เครดิตบูโรพบ ข้อมูลว่า หนี้กลุ่ม SM (ค้างชำระหนี้เกิน 30 วัน แต่ไม่ถึง 90 วัน) แนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอันดับ 1 สินเชื่อส่วนบุคคล/บัตรเครดิต, อันดับ 2 สินเชื่อบ้าน และอันดับ 3 สินเชื่อรถ ซึ่งพบอีกว่าภูเขาหนี้กระจุกตัวในคนกลุ่มเจน Y โดยพบด้วยว่าการขอสินเชื่อบ้านไม่ผ่านการอนุมัติสูงถึง 80% มากกว่าปีที่แล้วเกือบเท่าตัว และสิ่งที่น่า กังวลคือ ในอนาคตแนวโน้มของหนี้กลุ่ม SM จะลดลง แต่จะเปลี่ยนเป็นหนี้เสียเพิ่มมากขึ้น.