โอนกรรมสิทธิ์ทะลุ 1.11 ล้านล้าน
Loading

โอนกรรมสิทธิ์ทะลุ 1.11 ล้านล้าน

วันที่ : 20 พฤศจิกายน 2566
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ในปี 67 คาดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้น จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ได้ถึง 392,936 หน่วย เติบโต 4% และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 1.11 ล้านล้านบาท เติบโต 4.6%
          มีลุ้นปี 67 ธุรกิจอสังหาฯฟื้น โครงการเปิดใหม่จะกลับมา

          นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ในปี 67 คาดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้น จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ได้ถึง 392,936 หน่วย เติบโต 4% และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 1.11 ล้านล้านบาท เติบโต 4.6% โดยบ้านแนวราบยังมีสัดส่วนประมาณ 70% รองลงมาเป็นอาคารชุด หรือคอนโดมิเนียม 30% ขณะที่การเปิดตัวโครงการใหม่จะเริ่มกลับมาขยายตัวประมาณ 2-4% อีกครั้ง เพื่อรองรับความต้องการตลาดที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามต้องให้ความสำคัญต่อจำนวนสต๊อกที่อยู่อาศัยที่ยังเหลือขายในตลาดที่มีการสะสมมากเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นมากและเร็วของอุปทานในช่วงก่อนหน้าแต่ยอดขายในปี2566 ไม่ดีนัก ทำให้เกิดการดูดซับอุปทานเป็นไปอย่างช้า

          ส่วนปี 2566 คาดว่าจะมีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ 377,832 หน่วย ปรับลดจากปีก่อน 3.8% และมีมูลค่า 1.07 ล้านล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเป็นการปรับตัวลดลงของทั้งยอดการโอนกรรมสิทธิ์และจำนวนที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนเนื่องจากปี 2565 เป็นปีที่มีการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยขึ้นมาอย่างมาก จึงเป็นฐานที่สูงสำหรับปี 2566 ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์ในช่วง 3 ไตรมาสมาอย่างต่อเนื่อง พบว่ามีสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ดีกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อช่วงต้นปี เนื่องจากผลจากยอดขายที่ดีในปีก่อนหน้า ได้ส่งผลต่อยอดโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้และหากตลาดสามารถรักษาโมเมนตัมเช่นนี้ได้ จะสามารถช่วยให้หน่วยและมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ปี 2567 มีโอกาสขยายตัวได้อีก

          นายวิชัยกล่าวต่อว่า ในช่วง 9 เดือน ปี 2566 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย 270,650 หน่วย ลดลง 4.2% มูลค่า 766,791 ล้านบาท เพิ่ม 1.6% โดยพบว่ากลุ่มบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็นกลุ่มผู้โอนกรรมสิทธิ์ใหญ่ที่สุด ลดลง 5.9% ขณะที่กลุ่มบ้านระดับราคาเกินกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไปมีการขยายตัวสูง และระดับราคาเกินกว่า 7.5 ล้านบาทขึ้นไป มีหน่วยและมูลค่าขยายตัวมาก นอกจากนี้ หน่วยที่อยู่อาศัยใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ปรับตัวลดลง 24.7% และมูลค่าการขายลดลง 21.0% เช่นเดียวกับในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)ที่หน่วยขายใหม่ลดลง 16.0% มูลค่าลดลง 11.7%