กู้ซื้อบ้าน-คอนโด เจอ2เด้ง ดอกเบี้ยพ่นพิษ
วันที่ : 28 มกราคม 2566
PF เผยว่า จากต้นทุนที่ยังสูงขึ้นต่อเนื่องจากปี 2565 ในช่วงหลังปีใหม่บริษัทได้ปรับราคาบ้านแนวราบขึ้นแล้ว 2-3% ส่วนคอนโดมิเนียมปรับขึ้น 1% และหลังสงกรานต์นี้เตรียมจะปรับขึ้นอีก 2-3% ซึ่งหากดอกเบี้ยขยับขึ้นอีกแนวโน้มราคาบ้านคงต้องปรับขึ้นตาม คาดว่าปี 2566 ทั้งปีบ้านจะรับราคาขึ้น 2-3 ครั้ง โดยปรับครั้งละ 2-3% ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
อสังหาปรับราคา-ผ่อนเพิ่ม ธอส.ปลอบขึ้นแค่หลักร้อย สอท.จี้ค่าไฟงวดหน้าต่ำ5บ. พิพัฒน์ลุ้นท่องเที่ยว30ล.คน
'พิพัฒน์'ลุ้นเป้านักท่องเที่ยวเข้าไทย 30 ล้านคน 'เพอร์เฟค'ขยับราคาบ้าน-คอนโด 3% อ้างพิษปรับดอกเบี้ย 'แสนสิริ'กัดฟันตรึงช่วยลูกค้า แบงก์กรุงเทพ-เอสซีบีขึ้น ดบ.เงินฝาก-กู้ คลังคงจีดีพีปีนี้โต 3.8% ส่อเลื่อนประกาศชื่อบัตรคนจน
แบงก์กรุงเทพปรับขึ้นดอกกู้-ฝาก
เมื่อวันที่ 27 มกราคม เว็บไซต์ของธนาคารกรุงเทพได้เผยแพร่ข้อมูลประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยใหม่ทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก มีผลวันที่ 27 มกราคม 2566 ว่า ภายหลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% เป็น 1.50% จาก 1.25% ธนาคารจึงปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราเงินฝาก มีผลตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2566 โดยธนาคารได้ปรับดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง 3 ประเภทคือ 1.อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) เพิ่มขึ้น 0.20% เป็น 6.45% จาก 6.25% 2.อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) เพิ่มขึ้น 0.15% จาก 6.90% จาก 6.75% และ 3.อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้ารายย่อย (MRR) เพิ่มขึ้น 0.15% เป็น 6.80% จาก 6.65% และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ขณะเดียวกัน ธนาคารได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับดอกเบี้ยเงินฝากสะสมทรัพย์ จาก 0.45% เป็น 0.50% และดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน จากเดิม 0.60% เป็น 0.75% เงินฝากประจำ 6 เดือน เป็น 0.85% จาก 0.70% และเงินฝากประจำ 12 เดือน เป็น 1.15% จาก 1.00%
'กสิกร-เอสซีบี' ขึ้นดบ.ฝาก-กู้
นายกฤษณ์ จิตต์แจ้ง กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตามที่ กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.25% เป็น 1.50% ต่อปี เพื่อส่งผ่านนโยบายดังกล่าว ธนาคารจึงปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำให้สูงขึ้น 0.10-0.25% และทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับจาก 6.37% เป็น 6.57% อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับจาก 6.74% เป็น 6.89% และอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับจาก 6.50% เป็น 6.60% มีผลในวันที่ 30 มกราคม 2566 เป็นต้นไป
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภายหลังจาก กนง.มีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี ธนาคารจึงเห็นควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย MLR MOR และ MRR 0.10-0.20% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) จาก 6.520% เป็น 6.620% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) จาก 6.150% เป็น 6.350% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) จาก 6.745% เป็น 6.895% ต่อปี พร้อมกันนี้ ธนาคารปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขึ้น 0.05-0.25% ต่อปี โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2566 เป็นต้นไป
เพอร์เฟคขึ้นราคาบ้าน2-3%
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ต่อปี จาก 1.25% ต่อปี เป็น 1.50% ต่อปี ส่งผลกระทบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งฝั่ง ผู้ประกอบการจะมีต้นทุนการเงินสูงขึ้น และ ผู้ซื้อจะมีภาระค่าผ่อนบ้านเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในอัตราดังกล่าวยังพอรับได้ แต่ถ้ามีการปรับขึ้นอีก 2-3 ครั้งมีผลกระทบมากขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากตลาดโดยรวมยังมีปัญหาด้านกำลังซื้อ โดยเฉพาะตลาดระดับล่างที่กู้สินเชื่อจากแบงก์ไม่ผ่าน แม้อัตราดอกเบี้ยจะถูกแต่ถ้ากู้ไม่ผ่านก็ไม่มีประโยชน์ ส่วนตลาดระดับบน มีกำลังซื้อบ้านราคา 40-50 ล้านบาท จะไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขึ้น เพราะกู้ซื้อบ้านในสัดส่วนที่น้อย
"เราได้ออกหุ้นกู้เพื่อล็อกดอกเบี้ยระยะยาวไว้บ้างในช่วงที่ผ่านมาเพื่อลดภาระต้นทุนการเงิน ซึ่งบ้าน 1 หลังต้นทุนการสร้างบ้านเป็น 1 ใน 3 ของราคาบ้าน เช่น บ้านราคา 3 ล้านบาท ค่าก่อสร้างอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาท ที่เหลือเป็นค่าอื่นๆ เมื่อดอกเบี้ยขึ้น 0.25% ต้นทุนก่อสร้างจะแพงขึ้น 2,500 บาทต่อหลัง ถือว่ายังไม่สูงมาก" นายวงศกรณ์กล่าว
จ๊ากสงกรานต์ราคาบ้านปรับอีก
นายวงศกรณ์กล่าวว่า ทั้งนี้ จากต้นทุนที่ยังสูงขึ้นต่อเนื่องจากปี 2565 ในช่วงหลังปีใหม่บริษัทได้ปรับราคาบ้านแนวราบขึ้นแล้ว 2-3% ส่วนคอนโดมิเนียมปรับขึ้น 1% และหลังสงกรานต์นี้เตรียมจะปรับขึ้นอีก 2-3% ซึ่งหากดอกเบี้ยขยับขึ้นอีกแนวโน้มราคาบ้านคงต้องปรับขึ้นตาม คาดว่าปี 2566 ทั้งปีบ้านจะรับราคาขึ้น 2-3 ครั้ง โดยปรับครั้งละ 2-3% ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
'แสนสิริ' กัดฟันตรึงราคา
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ต่อปีถือว่าเป็นไปตามคาด อย่างไรก็ตาม การขึ้นดอกเบี้ยแต่ละครั้งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของ ผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแสนสิริมีต้นทุนการเงินอยู่ที่กว่า 3% เมื่อดอกเบี้ยขึ้นจะเป็น 3.75% ขณะที่ภาระการผ่อนบ้านของผู้ซื้อบ้าน เมื่อดอกเบี้ยขึ้นทุก 1% ทำให้อำนาจการผ่อนชำระค่างวดหายไป 7-8% ล่าสุดดอกเบี้ยขึ้น 0.25% ทำให้อำนาจการผ่อนชำระค่างวดหายไป 2%
"อย่างเช่น ผู้ซื้อบ้านราคา 1 ล้านบาท มีภาระดอกเบี้ย 3% หากปรับขึ้น 0.25% จะมีค่างวดเพิ่มขึ้น 250 บาท เป็นต้น ซึ่งแสนสิริได้หารือกับทุกแบงก์ให้ตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ให้ลูกค้า แต่ยังไม่รู้ตรึงได้นานแค่ไหน รวมถึงราคาบ้านด้วยที่ในปีนี้แสนสิริยังไม่ได้ปรับราคาขึ้น หลังเมื่อปี 2565 ขึ้นไปแล้ว และยังมีสต๊อกบ้านและคอนโดบ้านต้นทุนเดิมเหลืออยู่กว่า 10,000 กว่าล้านบาท หากปรับคงปรับเพิ่ม 2% ตามดอกเบี้ยและต้นทุน" นายอุทัยกล่าว
ธ.ก.ส.ย้ำมีมาตรการช่วยเกษตรกร
นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่กนง.มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งล่าสุดแล้วนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยในตลาดและการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจไทย ธ.ก.ส. ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทเพิ่มขึ้น 0.125-0.25% ต่อปี ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยลูกค้า รายคนชั้นดี (MRR) ปรับเพิ่มขึ้น 0.125% ต่อปี จากปัจจุบันที่ 6.50% เป็น 6.625% ต่อปี
นายธนารัตน์กล่าวว่า ส่วนอัตราดอกเบี้ยลูกค้าสถาบันและนิติบุคคลชั้นดี (MLR) ปรับเพิ่มขึ้น 0.25% ต่อปี จากปัจจุบันที่ 4.875% เป็น 5.125% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับเพิ่มขึ้น 0.25% ต่อปี จากปัจจุบันที่ 6.25% เป็น 6.50% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป
นายธนารัตน์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ธ.ก.ส. มีโครงการชำระดีมีคืน สำหรับลูกหนี้ที่ชำระหนี้ได้ตามปกติ และมีมาตรการในการดูแลและช่วยเหลือลูกค้าที่มีปัญหาหนี้สินแบบครบวงจร ได้แก่ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ การขยายระยะเวลาการชำระหนี้ เช่น มาตรการจ่ายดอกตัดต้น มาตรการจ่ายน้อย ผ่อนคลายได้ลดดอกเบี้ย และมาตรการทางด่วนลดหนี้ เป็นต้น เพื่อลดความกังวลใจในเรื่องหนี้ การให้คำปรึกษาด้านการจัดการหนี้ ทั้งในและนอกระบบ ควบคู่กับการเติมสินเชื่อใหม่ ภายใต้ อัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับเกษตรกร
2แบงก์แจงดบ.ขึ้นแค่หลักร้อย
แหล่งข่าวจาก ธ.ก.ส.แจ้งว่า จากการที่ ธ.ก.ส.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าว อาจจะส่งผลให้ลูกค้า ธ.ก.ส.มีภาระการจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ไม่มาก โดยแต่ละรายจะโดนภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นไม่เท่ากัน แล้วแต่สัญญาที่ได้ตกลงไว้กับธนาคาร ส่งผลให้จำนวนผ่อนงวดจะไม่เท่ากัน ยกตัวอย่าง ลูกค้าที่มีเงินต้นจำนวน 100,000 บาท ทำสัญญาที่มีภาระดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125% ต่อปี จะเสียดอกเบี้ยในอัตราใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 125 บาท โดยลูกค้าบางส่วนจะจ่ายเงินงวดเป็นรายปี แต่หากคำนวณเฉลี่ยต่อเดือนจะคิดเป็นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นประมาณ 10 บาทต่อเดือน
แหล่งข่าวจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ธอส.ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทของ ธอส.ในอัตรา 0.25% ต่อปี โดย ธอส.มีหลากหลายผลิตภัณฑ์ ทำให้ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าลูกค้าของ ธอส.จะมีภาระอัตราดอกเบี้ยใหม่เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตาม จากการประเมินคร่าวๆ เป็นค่าเฉลี่ย ลูกค้าของ ธอส.มีภาระจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นประมาณหลักร้อยต้นๆ เท่านั้น
กรุงศรีมุ่งมาตรการช่วยลูกหนี้
นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากแรงส่งภาคการท่องเที่ยว แต่ภาวะเงินเฟ้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นยังเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง กรุงศรีจึงมุ่งมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ การลดอัตราค่างวดผ่อนชำระ การขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ การรีไฟแนนซ์ การรวมหนี้ และการสนับสนุนสภาพคล่องทางการเงินสำหรับลูกค้ารายย่อย เป็นต้น นอกจากนี้ ลูกค้าสินเชื่อในกลุ่มที่ใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ รวมถึงลูกค้าบริษัทขนาดใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดกลาง จะยังไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้
ก.ท่องเที่ยวเปิดเว็บดึงตช.เที่ยวไทย
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผย ว่า ได้มีพิธีลงนามความร่วมมือบูรณาการ ระบบอำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทาง (Entry Thailand) ระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงท่องเที่ยวกับ 5 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงวัฒนธรรม, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, กรมอุตุนิยมวิทยา และกรมศิลปากร เพื่อเชื่อมโยงระบบการให้บริการด้านต่างๆ ไว้บนเว็บไซต์ Entry Thailand โดยจะมีข้อมูลการแจ้งเตือนสภาพอากาศ หรือ สาธารณภัยแบบเรียลไทม์, การให้ข้อมูลการจัดกิจกรรมด้านวัฒนธรรมประเพณีและการจัดงานต่างๆ บริการจองสถานที่ท่องเที่ยว-ที่พักของรัฐ อาทิ ที่พักของกรมอุทยาน ซึ่งจะเริ่มดำเนินการภายในปี 2567
"การพัฒนาเว็บไซต์ดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เดินทางแล้วยังเป็นการลดอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐในการให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ถือเป็นการดำเนินการเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวภายหลังการปลดล็อกมาตรการโควิด-19 ของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจีนที่ประกาศอนุญาตให้กรุ๊ปทัวร์สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้แล้วตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ การเตรียมพร้อมในระบบต่างๆ รวมถึงการสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวจะสามารถฟื้นประเทศ ฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว" นายพิพัฒน์กล่าว
ลุ้นเที่ยวไทยปีนี้ถึง30ล้านคน
นายพิพัฒน์กล่าวว่า ทั้งปี 2566 ตั้ง เป้าหมายภาคการท่องเที่ยวไทย หลังจีนเปิดประเทศแล้ว จะต้องมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 25 ล้านคน ดึงรายได้กลับคืนมาที่ 2.38 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 80% ของปี 2562 ก่อนเกิดการระบาดโควิด-19 ส่วนการเดินทาง ท่องเที่ยวในประเทศต้องไม่น้อยกว่า 160 ล้านคน-ครั้ง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ตั้งเป้าหมายดึงกลับมาที่ 25 ล้านคนนั้น คิดเป็นเพียง 70% ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวไทยปี 2562 อยู่ที่ 40 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายต่อไป แต่ก็มั่นใจว่าน่าจะไปถึงเป้าหมายได้ เพราะปี 2565 สามารถทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 11.8 ล้านคน
"หลังจากจีนเปิดประเทศ และอนุญาตให้ทำกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศได้ มั่นใจว่าเป้าหมายที่ 25 ล้านคน สามารถเห็นได้แน่นอน และอาจมีลุ้นเกิน เป้าหมายไปถึง 30 ล้านคนด้วย" นายพิพัฒน์กล่าว
คลังคงจีดีพีปีนี้โต3.8%
วันเดียวกัน ที่กระทรวงการคลัง นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจ การคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.8% เท่ากับการประมาณการครั้งก่อนเมื่อเดือนตุลาคม 2565 ทั้งนี้ มีช่วงคาดการณ์ที่ 3.3-4.3% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวจากภาคการ ท่องเที่ยวและอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียที่จะเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้คาดว่าในปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยจำนวน 27.5 ล้านคน คิดเป็นขยายตัวที่ 147% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ครั้งก่อนหน้าคาดตัวเลข 21.5 ล้านบาท เนื่องจากประเทศจีนเปิดประเทศ ช่วยหนุนรายได้จากภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องเพิ่มสูงขึ้น
นายพรชัยกล่าวว่า ขณะที่ปริมาณการส่งออกสินค้าจะชะลอลงตามการชะลอลงของอุปสงค์ประเทศคู่ค้าสำคัญ คาดว่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐจะขยายตัว 0.4% ด้านการบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัว 3.5% ตามรายได้ภาคประชาชน ที่เพิ่มขึ้น และเมื่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ช้อปดีมีคืน คาดว่าจะช่วยเพิ่มเม็ดเงินในระบบได้ 5 หมื่นล้านบาท ช่วยเศรษฐกิจขยายตัวได้ 0.15% สำหรับการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.6% จากความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจภายในประเทศที่เริ่มกลับมาดีขึ้น
เงินเฟ้อ2.8%ไม่เกินกรอบ3%
นายพรชัยกล่าวว่า ด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 2.8% ปรับเข้าสู่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1.0-3.0% เนื่องจากราคาพลังงานโลกที่ลดลง สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุล 3.1 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 0.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ส่วนประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.0% ลดลงจากคาดการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2565 มองการขยายตัวที่ 3.4% เนื่องจากการส่งออกลดลงติดต่อกันในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2565 คาดว่าทั้งปีจะขยายตัวที่ 8.2% ขณะที่การผ่อนปรนมาตรการการเดินทางระหว่างประเทศของประเทศต่างๆ ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศปรับดีขึ้นส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและภายในประเทศฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวที่ 6.9% และการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวที่ 4.2%
นายพรชัยกล่าวว่า สำหรับปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดมีทั้งปัจจัยสนับสนุน อาทิ ภาคการท่องเที่ยวที่มีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้มากกว่าที่คาดการณ์ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน ตามแนวทางการเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางของรัฐบาลจีน
ประกาศชื่อบัตรคนจนส่อเลื่อน
"ส่วนปัจจัยเสี่ยง อาทิ ทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐและสหภาพยุโรป ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงระหว่างประเทศและปัจจัยการผลิตต่างๆ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศจีนภายใต้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19" นายพรชัยกล่าว
นายพรชัยกล่าวถึงความคืบหน้าโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ว่า ข้อมูลผลการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการทั้งหมดถูกส่งมาที่คณะกรรมการกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมแล้ว ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนประกาศ รายชื่อผู้มีสิทธิผ่านเว็บไซต์ บัตรสวัสดิการ แห่งรัฐ.mof.go.th ส่วนจะประกาศได้ทันกำหนดในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้หรือไม่ ต้องรอคณะกรรมการกองทุนประชารัฐฯพิจารณา หากตรวจสอบเสร็จสิ้นทันก็สามารถประกาศได้ภายในเดือนมกราคมนี้
นายพรชัยกล่าวอีกว่า สำหรับข้อมูลบัตรสวัสดิการรอบใหม่ที่ต้องตรวจสอบนั้น มีถึง 44.51 ล้านราย โดยในส่วนนี้แบ่งเป็นข้อมูลของผู้ลงทะเบียนกว่า 19.63 ล้านราย และข้อมูล คู่สมรสและบุตรอีกกว่า 24.88 ล้านราย ซึ่งเป็นส่วนที่เพิ่มขึ้นมาจากเดิมที่ไม่มีการตรวจสอบข้อมูลคนในครอบครัวประกอบ ทั้งนี้ผู้ที่ขอรับสิทธิสามารถตรวจสอบผลได้โดยใช้เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก หากพบรายชื่อให้นำบัตรประชาชนไปสถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อยืนยันตัวตน และผูกบัญชีพร้อมเพย์ ส่วนผู้ที่ไม่พบรายชื่อสามารถอุทธรณ์ผ่านเว็บไซต์สวัสดิการแห่งรัฐได้
เร่งตั้งกรอ.พลังงานแก้ค่าไฟแพง
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดตั้งกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ด้านพลังงาน เพื่อพิจารณาโครงสร้างต้นทุนค่าไฟที่เป็นธรรมกับทุกฝ่ายตามข้อเสนอเอกชน ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายชื่อกรรมการจาก ทั้ง 2 ฝ่าย ฝั่งรัฐและฝั่งเอกชน อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ได้กำชับให้เร่งทำงานร่วมกัน แก้ไขปัญหาไปล่วงหน้าระหว่างที่กรรมการยังไม่เรียบร้อย เพื่อให้การพิจารณาข้อมูลของ 2 ฝ่าย มีความคืบหน้า เมื่อลงนามตั้งกรรมการและจัดประชุมนัดแรกจะได้มีข้อมูลพร้อมพิจารณาต่อได้ทันที "ระหว่างนี้ฝั่งรัฐและเอกชนจะจัดหารือถึงสโคปการทำงานร่วมกัน กำหนดเป้าหมาย เพื่อให้การพิจารณาพลังงานของประเทศเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายและเป็นประโยชน์กับประชนชนคนไทยมากที่สุด" นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงานแจ้งว่า ข้อเรียกร้องฝั่งเอกชนในนามคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคาร เกี่ยวกับอัตราค่าไฟของไทยเทียบกับเวียดนามที่ระบุว่าไทยอัตราบ้านเรือนทั่วไป 4.72 บาทต่อหน่วย และเอกชน 5.33 บาท ต่อหน่วย แพงกว่าเวียดนามซึ่งอยู่ที่ 2.88 บาท ต่อหน่วย และล่าสุดผลจากเงินบาทแข็งค่าทำให้ถูกลงอีกเหลือ 2.50 บาทต่อหน่วยนั้น อยากให้ดูโครงสร้างต้นทุนของประเทศก่อน เพราะกำลังผลิตไฟฟ้าของเวียดนามประมาณ 50% มาจากถ่านหิน ทำให้ต้นทุนถูกกว่าไทยที่พึ่งพาก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยจากเพื่อนบ้าน และนำเข้าแอลเอ็นจี ซึ่งมีราคาผันผวนแพงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น อยากให้เอกชนเข้าใจถึงโครงสร้างต้นทุนส่วนนี้ด้วย
สอท.ลุ้นค่าไฟพ.ค.นี้ถูกลงต่ำ5บ.
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการลงนามตั้ง กรอ.พลังงานอย่างเป็นทางการ ซึ่งเอกชนจาก ส.อ.ท.สภาหอฯและสมาคมธนาคาร ส่งตัวแทนองค์กรละ 2 คนเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ อยากให้ กรอ.พลังงานเร่งพิจารณาโครงสร้างค่าไฟให้ชัดเจน เพราะประเด็นค่าไฟเป็นเรื่องที่คนไทยกังวล และเดือนมีนาคม 2566 สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานจะต้องประกาศค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดใหม่ คือเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 โดยเอกชนอยากให้ค่าไฟงวดใหม่ต่ำกว่า 5 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบันเอกชนจ่าย 5.33 บาทต่อหน่วย
"คาดหวังว่า กรอ.พลังงานจะสามารถพิจารณาโครงสร้างต้นทุนค่าไฟเพื่อให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ในฐานะหน่วยงานพิจารณาค่าไฟเคาะค่าไฟงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 เหมาะสม โดยเฉพาะค่าไฟเอกชนอยากให้ต่ำกว่า 5 บาทต่อหน่วย ไม่ผลักภาระให้ภาคเอกชนเหมือนงวดที่ผ่านมา เพราะเวลานี้ราคาพลังงานโลกเริ่มลดลง ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น และคาดว่าปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยจะเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนค่าไฟลดลง" นายอิศเรศกล่าว
ห้ามขายน้ำตาลทรายเกินฉลาก
จากกรณีโรงงานน้ำตาล ชาวไร่อ้อยและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ข้อสรุปการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานอีก 1.75 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ส่งผลให้ราคาน้ำตาลทรายขาวธรรมดาหน้าโรงงานเพิ่มขึ้น จากเดิมอยู่ที่ 17.25 บาทต่อ กก. เป็น 19 บาทต่อ กก. และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์จาก 18.25 บาทต่อ กก. เป็น 20 บาทต่อ กก. เพื่อใช้กำหนดเป็นราคาคำนวณราคาอ้อยขั้นต้นในฤดูการผลิตปี 2565/66 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2566 นั้น
ร้อยตรี จักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ก่อนมี การเคาะราคาปรับขึ้นหน้าโรงงาน กรมได้หารือกับกลุ่มโรงงานและหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องอ้อยและน้ำตาล โดยขอให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ในฐานะดูแลควบคุมทั้งระบบ ตั้งแต่การผลิต ขายส่ง และขายปลีก พิจารณาออกแนวทางกำกับดูแลการปรับขึ้นราคาให้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ใช้น้อยที่สุด ในส่วนของกรมจะดูแลตามกฎหมายที่อยู่ภายใต้กำกับดูแล คือ ผู้ค้าต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้าที่ชัดเจน และดำเนินการตรวจสอบหากมีการร้องเรียนว่ามีการขายเกินราคา หรือบิดเบือนราคา ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มาตรา 29 หากพบว่าขายเกินราคาเกินควร มีโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี ปรับสูงสุด 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ "น้ำตาลทรายไม่ใช่สินค้าควบคุม ดังนั้น กรมดูแลเหมือนสินค้าต่างๆ คือต้องปิดป้ายและขายราคาแพงเกินควรจะถูกดำเนินคดี" ร้อยตรีจักรากล่าว และว่า กรมได้ออกตรวจสอบสถานการณ์ราคาสินค้า รวมถึงน้ำตาลทราย ยังไม่พบความผิดปกติ หรือมีร้องเรียนใดๆ และยังไม่มีผู้ผลิตขอปรับราคาโดยอ้างเรื่องราคาน้ำตาลทราย
'พิพัฒน์'ลุ้นเป้านักท่องเที่ยวเข้าไทย 30 ล้านคน 'เพอร์เฟค'ขยับราคาบ้าน-คอนโด 3% อ้างพิษปรับดอกเบี้ย 'แสนสิริ'กัดฟันตรึงช่วยลูกค้า แบงก์กรุงเทพ-เอสซีบีขึ้น ดบ.เงินฝาก-กู้ คลังคงจีดีพีปีนี้โต 3.8% ส่อเลื่อนประกาศชื่อบัตรคนจน
แบงก์กรุงเทพปรับขึ้นดอกกู้-ฝาก
เมื่อวันที่ 27 มกราคม เว็บไซต์ของธนาคารกรุงเทพได้เผยแพร่ข้อมูลประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยใหม่ทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก มีผลวันที่ 27 มกราคม 2566 ว่า ภายหลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% เป็น 1.50% จาก 1.25% ธนาคารจึงปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราเงินฝาก มีผลตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2566 โดยธนาคารได้ปรับดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง 3 ประเภทคือ 1.อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) เพิ่มขึ้น 0.20% เป็น 6.45% จาก 6.25% 2.อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) เพิ่มขึ้น 0.15% จาก 6.90% จาก 6.75% และ 3.อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้ารายย่อย (MRR) เพิ่มขึ้น 0.15% เป็น 6.80% จาก 6.65% และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ขณะเดียวกัน ธนาคารได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับดอกเบี้ยเงินฝากสะสมทรัพย์ จาก 0.45% เป็น 0.50% และดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน จากเดิม 0.60% เป็น 0.75% เงินฝากประจำ 6 เดือน เป็น 0.85% จาก 0.70% และเงินฝากประจำ 12 เดือน เป็น 1.15% จาก 1.00%
'กสิกร-เอสซีบี' ขึ้นดบ.ฝาก-กู้
นายกฤษณ์ จิตต์แจ้ง กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตามที่ กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.25% เป็น 1.50% ต่อปี เพื่อส่งผ่านนโยบายดังกล่าว ธนาคารจึงปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำให้สูงขึ้น 0.10-0.25% และทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับจาก 6.37% เป็น 6.57% อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับจาก 6.74% เป็น 6.89% และอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับจาก 6.50% เป็น 6.60% มีผลในวันที่ 30 มกราคม 2566 เป็นต้นไป
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภายหลังจาก กนง.มีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี ธนาคารจึงเห็นควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย MLR MOR และ MRR 0.10-0.20% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) จาก 6.520% เป็น 6.620% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) จาก 6.150% เป็น 6.350% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) จาก 6.745% เป็น 6.895% ต่อปี พร้อมกันนี้ ธนาคารปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขึ้น 0.05-0.25% ต่อปี โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2566 เป็นต้นไป
เพอร์เฟคขึ้นราคาบ้าน2-3%
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ต่อปี จาก 1.25% ต่อปี เป็น 1.50% ต่อปี ส่งผลกระทบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งฝั่ง ผู้ประกอบการจะมีต้นทุนการเงินสูงขึ้น และ ผู้ซื้อจะมีภาระค่าผ่อนบ้านเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในอัตราดังกล่าวยังพอรับได้ แต่ถ้ามีการปรับขึ้นอีก 2-3 ครั้งมีผลกระทบมากขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากตลาดโดยรวมยังมีปัญหาด้านกำลังซื้อ โดยเฉพาะตลาดระดับล่างที่กู้สินเชื่อจากแบงก์ไม่ผ่าน แม้อัตราดอกเบี้ยจะถูกแต่ถ้ากู้ไม่ผ่านก็ไม่มีประโยชน์ ส่วนตลาดระดับบน มีกำลังซื้อบ้านราคา 40-50 ล้านบาท จะไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขึ้น เพราะกู้ซื้อบ้านในสัดส่วนที่น้อย
"เราได้ออกหุ้นกู้เพื่อล็อกดอกเบี้ยระยะยาวไว้บ้างในช่วงที่ผ่านมาเพื่อลดภาระต้นทุนการเงิน ซึ่งบ้าน 1 หลังต้นทุนการสร้างบ้านเป็น 1 ใน 3 ของราคาบ้าน เช่น บ้านราคา 3 ล้านบาท ค่าก่อสร้างอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาท ที่เหลือเป็นค่าอื่นๆ เมื่อดอกเบี้ยขึ้น 0.25% ต้นทุนก่อสร้างจะแพงขึ้น 2,500 บาทต่อหลัง ถือว่ายังไม่สูงมาก" นายวงศกรณ์กล่าว
จ๊ากสงกรานต์ราคาบ้านปรับอีก
นายวงศกรณ์กล่าวว่า ทั้งนี้ จากต้นทุนที่ยังสูงขึ้นต่อเนื่องจากปี 2565 ในช่วงหลังปีใหม่บริษัทได้ปรับราคาบ้านแนวราบขึ้นแล้ว 2-3% ส่วนคอนโดมิเนียมปรับขึ้น 1% และหลังสงกรานต์นี้เตรียมจะปรับขึ้นอีก 2-3% ซึ่งหากดอกเบี้ยขยับขึ้นอีกแนวโน้มราคาบ้านคงต้องปรับขึ้นตาม คาดว่าปี 2566 ทั้งปีบ้านจะรับราคาขึ้น 2-3 ครั้ง โดยปรับครั้งละ 2-3% ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
'แสนสิริ' กัดฟันตรึงราคา
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ต่อปีถือว่าเป็นไปตามคาด อย่างไรก็ตาม การขึ้นดอกเบี้ยแต่ละครั้งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของ ผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแสนสิริมีต้นทุนการเงินอยู่ที่กว่า 3% เมื่อดอกเบี้ยขึ้นจะเป็น 3.75% ขณะที่ภาระการผ่อนบ้านของผู้ซื้อบ้าน เมื่อดอกเบี้ยขึ้นทุก 1% ทำให้อำนาจการผ่อนชำระค่างวดหายไป 7-8% ล่าสุดดอกเบี้ยขึ้น 0.25% ทำให้อำนาจการผ่อนชำระค่างวดหายไป 2%
"อย่างเช่น ผู้ซื้อบ้านราคา 1 ล้านบาท มีภาระดอกเบี้ย 3% หากปรับขึ้น 0.25% จะมีค่างวดเพิ่มขึ้น 250 บาท เป็นต้น ซึ่งแสนสิริได้หารือกับทุกแบงก์ให้ตรึงดอกเบี้ยเงินกู้ให้ลูกค้า แต่ยังไม่รู้ตรึงได้นานแค่ไหน รวมถึงราคาบ้านด้วยที่ในปีนี้แสนสิริยังไม่ได้ปรับราคาขึ้น หลังเมื่อปี 2565 ขึ้นไปแล้ว และยังมีสต๊อกบ้านและคอนโดบ้านต้นทุนเดิมเหลืออยู่กว่า 10,000 กว่าล้านบาท หากปรับคงปรับเพิ่ม 2% ตามดอกเบี้ยและต้นทุน" นายอุทัยกล่าว
ธ.ก.ส.ย้ำมีมาตรการช่วยเกษตรกร
นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่กนง.มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งล่าสุดแล้วนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยในตลาดและการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจไทย ธ.ก.ส. ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทเพิ่มขึ้น 0.125-0.25% ต่อปี ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยลูกค้า รายคนชั้นดี (MRR) ปรับเพิ่มขึ้น 0.125% ต่อปี จากปัจจุบันที่ 6.50% เป็น 6.625% ต่อปี
นายธนารัตน์กล่าวว่า ส่วนอัตราดอกเบี้ยลูกค้าสถาบันและนิติบุคคลชั้นดี (MLR) ปรับเพิ่มขึ้น 0.25% ต่อปี จากปัจจุบันที่ 4.875% เป็น 5.125% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับเพิ่มขึ้น 0.25% ต่อปี จากปัจจุบันที่ 6.25% เป็น 6.50% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป
นายธนารัตน์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ธ.ก.ส. มีโครงการชำระดีมีคืน สำหรับลูกหนี้ที่ชำระหนี้ได้ตามปกติ และมีมาตรการในการดูแลและช่วยเหลือลูกค้าที่มีปัญหาหนี้สินแบบครบวงจร ได้แก่ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ การขยายระยะเวลาการชำระหนี้ เช่น มาตรการจ่ายดอกตัดต้น มาตรการจ่ายน้อย ผ่อนคลายได้ลดดอกเบี้ย และมาตรการทางด่วนลดหนี้ เป็นต้น เพื่อลดความกังวลใจในเรื่องหนี้ การให้คำปรึกษาด้านการจัดการหนี้ ทั้งในและนอกระบบ ควบคู่กับการเติมสินเชื่อใหม่ ภายใต้ อัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับเกษตรกร
2แบงก์แจงดบ.ขึ้นแค่หลักร้อย
แหล่งข่าวจาก ธ.ก.ส.แจ้งว่า จากการที่ ธ.ก.ส.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าว อาจจะส่งผลให้ลูกค้า ธ.ก.ส.มีภาระการจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ไม่มาก โดยแต่ละรายจะโดนภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นไม่เท่ากัน แล้วแต่สัญญาที่ได้ตกลงไว้กับธนาคาร ส่งผลให้จำนวนผ่อนงวดจะไม่เท่ากัน ยกตัวอย่าง ลูกค้าที่มีเงินต้นจำนวน 100,000 บาท ทำสัญญาที่มีภาระดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125% ต่อปี จะเสียดอกเบี้ยในอัตราใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 125 บาท โดยลูกค้าบางส่วนจะจ่ายเงินงวดเป็นรายปี แต่หากคำนวณเฉลี่ยต่อเดือนจะคิดเป็นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นประมาณ 10 บาทต่อเดือน
แหล่งข่าวจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ธอส.ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทของ ธอส.ในอัตรา 0.25% ต่อปี โดย ธอส.มีหลากหลายผลิตภัณฑ์ ทำให้ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าลูกค้าของ ธอส.จะมีภาระอัตราดอกเบี้ยใหม่เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตาม จากการประเมินคร่าวๆ เป็นค่าเฉลี่ย ลูกค้าของ ธอส.มีภาระจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นประมาณหลักร้อยต้นๆ เท่านั้น
กรุงศรีมุ่งมาตรการช่วยลูกหนี้
นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากแรงส่งภาคการท่องเที่ยว แต่ภาวะเงินเฟ้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นยังเป็นความท้าทาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง กรุงศรีจึงมุ่งมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ การลดอัตราค่างวดผ่อนชำระ การขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ การรีไฟแนนซ์ การรวมหนี้ และการสนับสนุนสภาพคล่องทางการเงินสำหรับลูกค้ารายย่อย เป็นต้น นอกจากนี้ ลูกค้าสินเชื่อในกลุ่มที่ใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ รวมถึงลูกค้าบริษัทขนาดใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดกลาง จะยังไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้
ก.ท่องเที่ยวเปิดเว็บดึงตช.เที่ยวไทย
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผย ว่า ได้มีพิธีลงนามความร่วมมือบูรณาการ ระบบอำนวยความสะดวกแก่ผู้เดินทาง (Entry Thailand) ระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงท่องเที่ยวกับ 5 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงวัฒนธรรม, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, กรมอุตุนิยมวิทยา และกรมศิลปากร เพื่อเชื่อมโยงระบบการให้บริการด้านต่างๆ ไว้บนเว็บไซต์ Entry Thailand โดยจะมีข้อมูลการแจ้งเตือนสภาพอากาศ หรือ สาธารณภัยแบบเรียลไทม์, การให้ข้อมูลการจัดกิจกรรมด้านวัฒนธรรมประเพณีและการจัดงานต่างๆ บริการจองสถานที่ท่องเที่ยว-ที่พักของรัฐ อาทิ ที่พักของกรมอุทยาน ซึ่งจะเริ่มดำเนินการภายในปี 2567
"การพัฒนาเว็บไซต์ดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เดินทางแล้วยังเป็นการลดอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐในการให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ถือเป็นการดำเนินการเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวภายหลังการปลดล็อกมาตรการโควิด-19 ของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจีนที่ประกาศอนุญาตให้กรุ๊ปทัวร์สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้แล้วตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ การเตรียมพร้อมในระบบต่างๆ รวมถึงการสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวจะสามารถฟื้นประเทศ ฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว" นายพิพัฒน์กล่าว
ลุ้นเที่ยวไทยปีนี้ถึง30ล้านคน
นายพิพัฒน์กล่าวว่า ทั้งปี 2566 ตั้ง เป้าหมายภาคการท่องเที่ยวไทย หลังจีนเปิดประเทศแล้ว จะต้องมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยไม่ต่ำกว่า 25 ล้านคน ดึงรายได้กลับคืนมาที่ 2.38 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 80% ของปี 2562 ก่อนเกิดการระบาดโควิด-19 ส่วนการเดินทาง ท่องเที่ยวในประเทศต้องไม่น้อยกว่า 160 ล้านคน-ครั้ง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ตั้งเป้าหมายดึงกลับมาที่ 25 ล้านคนนั้น คิดเป็นเพียง 70% ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวไทยปี 2562 อยู่ที่ 40 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายต่อไป แต่ก็มั่นใจว่าน่าจะไปถึงเป้าหมายได้ เพราะปี 2565 สามารถทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 11.8 ล้านคน
"หลังจากจีนเปิดประเทศ และอนุญาตให้ทำกรุ๊ปทัวร์นักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศได้ มั่นใจว่าเป้าหมายที่ 25 ล้านคน สามารถเห็นได้แน่นอน และอาจมีลุ้นเกิน เป้าหมายไปถึง 30 ล้านคนด้วย" นายพิพัฒน์กล่าว
คลังคงจีดีพีปีนี้โต3.8%
วันเดียวกัน ที่กระทรวงการคลัง นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจ การคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.8% เท่ากับการประมาณการครั้งก่อนเมื่อเดือนตุลาคม 2565 ทั้งนี้ มีช่วงคาดการณ์ที่ 3.3-4.3% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวจากภาคการ ท่องเที่ยวและอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียที่จะเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้คาดว่าในปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยจำนวน 27.5 ล้านคน คิดเป็นขยายตัวที่ 147% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ครั้งก่อนหน้าคาดตัวเลข 21.5 ล้านบาท เนื่องจากประเทศจีนเปิดประเทศ ช่วยหนุนรายได้จากภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องเพิ่มสูงขึ้น
นายพรชัยกล่าวว่า ขณะที่ปริมาณการส่งออกสินค้าจะชะลอลงตามการชะลอลงของอุปสงค์ประเทศคู่ค้าสำคัญ คาดว่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐจะขยายตัว 0.4% ด้านการบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัว 3.5% ตามรายได้ภาคประชาชน ที่เพิ่มขึ้น และเมื่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ช้อปดีมีคืน คาดว่าจะช่วยเพิ่มเม็ดเงินในระบบได้ 5 หมื่นล้านบาท ช่วยเศรษฐกิจขยายตัวได้ 0.15% สำหรับการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ 3.6% จากความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจภายในประเทศที่เริ่มกลับมาดีขึ้น
เงินเฟ้อ2.8%ไม่เกินกรอบ3%
นายพรชัยกล่าวว่า ด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 2.8% ปรับเข้าสู่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1.0-3.0% เนื่องจากราคาพลังงานโลกที่ลดลง สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุล 3.1 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 0.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ส่วนประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.0% ลดลงจากคาดการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2565 มองการขยายตัวที่ 3.4% เนื่องจากการส่งออกลดลงติดต่อกันในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2565 คาดว่าทั้งปีจะขยายตัวที่ 8.2% ขณะที่การผ่อนปรนมาตรการการเดินทางระหว่างประเทศของประเทศต่างๆ ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศปรับดีขึ้นส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและภายในประเทศฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวที่ 6.9% และการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวที่ 4.2%
นายพรชัยกล่าวว่า สำหรับปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดมีทั้งปัจจัยสนับสนุน อาทิ ภาคการท่องเที่ยวที่มีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้มากกว่าที่คาดการณ์ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน ตามแนวทางการเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางของรัฐบาลจีน
ประกาศชื่อบัตรคนจนส่อเลื่อน
"ส่วนปัจจัยเสี่ยง อาทิ ทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐและสหภาพยุโรป ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงระหว่างประเทศและปัจจัยการผลิตต่างๆ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศจีนภายใต้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19" นายพรชัยกล่าว
นายพรชัยกล่าวถึงความคืบหน้าโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ว่า ข้อมูลผลการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการทั้งหมดถูกส่งมาที่คณะกรรมการกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมแล้ว ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนประกาศ รายชื่อผู้มีสิทธิผ่านเว็บไซต์ บัตรสวัสดิการ แห่งรัฐ.mof.go.th ส่วนจะประกาศได้ทันกำหนดในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้หรือไม่ ต้องรอคณะกรรมการกองทุนประชารัฐฯพิจารณา หากตรวจสอบเสร็จสิ้นทันก็สามารถประกาศได้ภายในเดือนมกราคมนี้
นายพรชัยกล่าวอีกว่า สำหรับข้อมูลบัตรสวัสดิการรอบใหม่ที่ต้องตรวจสอบนั้น มีถึง 44.51 ล้านราย โดยในส่วนนี้แบ่งเป็นข้อมูลของผู้ลงทะเบียนกว่า 19.63 ล้านราย และข้อมูล คู่สมรสและบุตรอีกกว่า 24.88 ล้านราย ซึ่งเป็นส่วนที่เพิ่มขึ้นมาจากเดิมที่ไม่มีการตรวจสอบข้อมูลคนในครอบครัวประกอบ ทั้งนี้ผู้ที่ขอรับสิทธิสามารถตรวจสอบผลได้โดยใช้เลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก หากพบรายชื่อให้นำบัตรประชาชนไปสถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อยืนยันตัวตน และผูกบัญชีพร้อมเพย์ ส่วนผู้ที่ไม่พบรายชื่อสามารถอุทธรณ์ผ่านเว็บไซต์สวัสดิการแห่งรัฐได้
เร่งตั้งกรอ.พลังงานแก้ค่าไฟแพง
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดตั้งกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ด้านพลังงาน เพื่อพิจารณาโครงสร้างต้นทุนค่าไฟที่เป็นธรรมกับทุกฝ่ายตามข้อเสนอเอกชน ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายชื่อกรรมการจาก ทั้ง 2 ฝ่าย ฝั่งรัฐและฝั่งเอกชน อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ได้กำชับให้เร่งทำงานร่วมกัน แก้ไขปัญหาไปล่วงหน้าระหว่างที่กรรมการยังไม่เรียบร้อย เพื่อให้การพิจารณาข้อมูลของ 2 ฝ่าย มีความคืบหน้า เมื่อลงนามตั้งกรรมการและจัดประชุมนัดแรกจะได้มีข้อมูลพร้อมพิจารณาต่อได้ทันที "ระหว่างนี้ฝั่งรัฐและเอกชนจะจัดหารือถึงสโคปการทำงานร่วมกัน กำหนดเป้าหมาย เพื่อให้การพิจารณาพลังงานของประเทศเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายและเป็นประโยชน์กับประชนชนคนไทยมากที่สุด" นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงานแจ้งว่า ข้อเรียกร้องฝั่งเอกชนในนามคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคาร เกี่ยวกับอัตราค่าไฟของไทยเทียบกับเวียดนามที่ระบุว่าไทยอัตราบ้านเรือนทั่วไป 4.72 บาทต่อหน่วย และเอกชน 5.33 บาท ต่อหน่วย แพงกว่าเวียดนามซึ่งอยู่ที่ 2.88 บาท ต่อหน่วย และล่าสุดผลจากเงินบาทแข็งค่าทำให้ถูกลงอีกเหลือ 2.50 บาทต่อหน่วยนั้น อยากให้ดูโครงสร้างต้นทุนของประเทศก่อน เพราะกำลังผลิตไฟฟ้าของเวียดนามประมาณ 50% มาจากถ่านหิน ทำให้ต้นทุนถูกกว่าไทยที่พึ่งพาก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยจากเพื่อนบ้าน และนำเข้าแอลเอ็นจี ซึ่งมีราคาผันผวนแพงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น อยากให้เอกชนเข้าใจถึงโครงสร้างต้นทุนส่วนนี้ด้วย
สอท.ลุ้นค่าไฟพ.ค.นี้ถูกลงต่ำ5บ.
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการลงนามตั้ง กรอ.พลังงานอย่างเป็นทางการ ซึ่งเอกชนจาก ส.อ.ท.สภาหอฯและสมาคมธนาคาร ส่งตัวแทนองค์กรละ 2 คนเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ อยากให้ กรอ.พลังงานเร่งพิจารณาโครงสร้างค่าไฟให้ชัดเจน เพราะประเด็นค่าไฟเป็นเรื่องที่คนไทยกังวล และเดือนมีนาคม 2566 สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานจะต้องประกาศค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดใหม่ คือเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 โดยเอกชนอยากให้ค่าไฟงวดใหม่ต่ำกว่า 5 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบันเอกชนจ่าย 5.33 บาทต่อหน่วย
"คาดหวังว่า กรอ.พลังงานจะสามารถพิจารณาโครงสร้างต้นทุนค่าไฟเพื่อให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ในฐานะหน่วยงานพิจารณาค่าไฟเคาะค่าไฟงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566 เหมาะสม โดยเฉพาะค่าไฟเอกชนอยากให้ต่ำกว่า 5 บาทต่อหน่วย ไม่ผลักภาระให้ภาคเอกชนเหมือนงวดที่ผ่านมา เพราะเวลานี้ราคาพลังงานโลกเริ่มลดลง ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น และคาดว่าปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยจะเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนค่าไฟลดลง" นายอิศเรศกล่าว
ห้ามขายน้ำตาลทรายเกินฉลาก
จากกรณีโรงงานน้ำตาล ชาวไร่อ้อยและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ข้อสรุปการปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานอีก 1.75 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ส่งผลให้ราคาน้ำตาลทรายขาวธรรมดาหน้าโรงงานเพิ่มขึ้น จากเดิมอยู่ที่ 17.25 บาทต่อ กก. เป็น 19 บาทต่อ กก. และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์จาก 18.25 บาทต่อ กก. เป็น 20 บาทต่อ กก. เพื่อใช้กำหนดเป็นราคาคำนวณราคาอ้อยขั้นต้นในฤดูการผลิตปี 2565/66 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2566 นั้น
ร้อยตรี จักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ก่อนมี การเคาะราคาปรับขึ้นหน้าโรงงาน กรมได้หารือกับกลุ่มโรงงานและหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องอ้อยและน้ำตาล โดยขอให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ในฐานะดูแลควบคุมทั้งระบบ ตั้งแต่การผลิต ขายส่ง และขายปลีก พิจารณาออกแนวทางกำกับดูแลการปรับขึ้นราคาให้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ใช้น้อยที่สุด ในส่วนของกรมจะดูแลตามกฎหมายที่อยู่ภายใต้กำกับดูแล คือ ผู้ค้าต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้าที่ชัดเจน และดำเนินการตรวจสอบหากมีการร้องเรียนว่ามีการขายเกินราคา หรือบิดเบือนราคา ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 มาตรา 29 หากพบว่าขายเกินราคาเกินควร มีโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี ปรับสูงสุด 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ "น้ำตาลทรายไม่ใช่สินค้าควบคุม ดังนั้น กรมดูแลเหมือนสินค้าต่างๆ คือต้องปิดป้ายและขายราคาแพงเกินควรจะถูกดำเนินคดี" ร้อยตรีจักรากล่าว และว่า กรมได้ออกตรวจสอบสถานการณ์ราคาสินค้า รวมถึงน้ำตาลทราย ยังไม่พบความผิดปกติ หรือมีร้องเรียนใดๆ และยังไม่มีผู้ผลิตขอปรับราคาโดยอ้างเรื่องราคาน้ำตาลทราย
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ