โควิดพ่นพิษไตรมาส3เศรษฐกิจติดลบ 0.3%

          สศช.แถลงจีดีพีไตรมาส 3/2564 ติดลบ 0.3% น้อยกว่าที่คิด เนื่องจากใช้มาตรการล็อกดาวน์พื้นที่เศรษฐกิจจากที่มีการแพร่ระบาดโควิด เผยมีเม็ดเงินจากมาตรการรัฐอัดลงไป 2.1 แสนล้านบาท มั่นใจตลอดปี 2564 จีดีพีไม่ติดลบ คาดขยายตัวถึง 1.2% ซึ่งเป็นกรอบบนที่ประมาณการไว้ ส่วนปี 2565 คาดขยายตัว 3.5-4.5% "อาคม" มั่นใจปี 65 จีดีพีโต 4% ย้ำยังเป็นปีที่ต้องระวังการระบาดโควิด-19 เช่นเดิม

          นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3/2564 และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2564-2565 ติดลบ 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงจากการเทียบกับการขยายตัว 7.6% ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ 9 เดือนปี 2564 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 1.3% และมั่นใจว่าถ้าสถานการณ์ไม่เปลี่ยนไปจากตอนนี้อย่างมีนัยสำคัญ ตลอดทั้งปีนี้จะไม่เห็นจีดีพีติดลบ เพราะมีแรงส่งจากการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี โดย สศช.คาดว่าจีดีพีตลอดปี 64 จะขยายตัวได้ 1.2% ซึ่งเป็นไปตามกรอบประมาณการเศรษฐกิจของ สศช.เมื่อเดือน ส.ค.ที่มองว่าเศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัวได้ 0.7-1.2%

          ทั้งนี้ เศรษฐกิจไตรมาส 3 ปีนี้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดการล็อกดาวน์พื้นที่เศรษฐกิจ ส่งผลการบริโภคภาคเอกชนลดลง 3.2% การใช้จ่ายสินค้าหมวดคงทนลดลง 14.1% แต่จากการที่รัฐบาลออกมาตรการการเยียวยาผู้ได้รับกระทบในกลุ่มผู้ประกันตนตามมาตรา 33,39,40 และโครงการลดค่าครองชีพของประชาชน เช่น โครงการคนละครึ่ง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมวงเงิน 210,000 ล้านบาท ที่ออกมาในช่วงเวลาดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจไทยไม่หดตัวมากนัก ขณะที่การส่งออกขยายตัวสินค้ามีมูลค่า 67,249 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 15.7% ต่อเนื่องจากการขยายตัว 36.2% ไตรมาสก่อนหน้าโดยปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น 12.2%

          ส่วนเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/64 จะฟื้นตัวได้จากไตรมาส 3/64 ที่เป็นจุดที่มีปัญหามาก โดยตลอดปีที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 1.2% จะได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดปี 200,000 คน และจากมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างช้าๆจากการติดลบ 6.1% เมื่อปี 63 ส่วนอัตราเงินเฟ้อปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1.2% และบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 2.5% ต่อจีดีพีเทียบกับการเกินดุล 4% ต่อจีดีพีปี 63 ส่วนข้อเสนอของภาคเอกชนให้ภาครัฐนำโครงการ "ช้อปดีมีคืน" กลับมาใช้อีกครั้งเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อนั้น ภาครัฐรับข้อเสนอไว้แล้วอยู่ระหว่างพิจารณารูปแบบและจังหวะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดแรงส่งเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

          สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 65 คาดว่าจะขยายตัว 3.5-4.5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและภาคการผลิตตามสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่มีแนวโน้มคลี่คลายลงและการกระจายวัคซีน การฟื้นตัวอย่างช้าๆของภาคท่องเที่ยวระหว่างประเทศภายใต้นโยบายการเปิดประเทศของภาครัฐ คาดว่าจะมีรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศปี 65 ราว 440,000 ล้านบาท และมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 ล้านคน

          ขณะที่คาดว่าการใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภคภาคเอกชน จะขยายตัว 4.3% เร่งขึ้นจากปี 64 ตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลงและสัดส่วนผู้ได้รับวัคซีนที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาลคาดว่าจะขยายตัว 0.3% ชะลอลงจาก 2.3% ปี 64 โดยเป็นผลจากการลดลงของกรอบรายจ่ายประจำภายใต้กรอบงบประมาณประจำปี 65 ด้านการลงทุนคาดว่าจะขยายตัว 4.3% เทียบกับ 4.4% ปี 64 โดยการลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง 4.2% เทียบกับ 4.3% ปี 64 สอดคล้องกับแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการส่งออกตามการขยายตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจและการค้าโลก ขณะที่การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัว 4.6% ต่อเนื่องจาก 4.8% ปี 64

          ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ คาดว่าจะขยายตัว 4.9% เทียบกับ 16.8% ในปี 64 คาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าจะเพิ่มขึ้น 4.4% ขณะที่การส่งออกบริการมีแนวโน้มฟื้นตัวตามการดำเนินมาตรการเปิดประเทศและการปรับตัวดีขึ้นของสถานการณ์การแพร่ระบาดทั้งในประเทศไทย และประเทศต้นทางนักท่องเที่ยว โดยในกรณีฐานคาดว่ารายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 65 จะอยู่ที่ 440,000 ล้านบาท

          นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลังกล่าวว่า ทิศทางฟื้นเศรษฐกิจปี 2565 อยู่ภายใต้ปัจจัยการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่อง การเปิดประเทศและมาตรการทางเศรษฐกิจคู่ขนานการแก้ปัญหาการระบาดของโควิด-19 เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในภาคประชาชน ทำให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยปี 64 จะขยายตัวที่ 1% และขยายตัวได้ 4% ในปี 65 ซึ่งการดำเนินการมาตรการทางเศรษฐกิจจะควบคู่กับมาตรการดูแลป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งปี 65 จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่ต้องระมัดระวัง ไม่ให้เกิดการระบาดอีกรอบ