เพิ่มค่าเวนคืนไฮสปีด2.1พันล.
Loading

เพิ่มค่าเวนคืนไฮสปีด2.1พันล.

วันที่ : 31 มีนาคม 2564
ไฟเขียว เพิ่มค่าเวนคืนที่ดิน รถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน 2.17พันล้าน
          เพิ่มค่าเวนคืนไฮสปีด2.1พันล.

          ครม.เคาะเพิ่มงบเวนคืนรถไฟ ความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน  2.17 พันล้านบาท ใช้งบกลางจ่ายก่อน 607 ล้านบาท พร้อมอนุมัติ กทท.ลดค่าตู้คอนเทนเนอร์ ม.ค.-มี.ค.แก้ปัญหาขาดแคลนตู้เปล่า สูญรายได้ 384 ล้านบาท

          นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 30 มี.ค.ได้เห็นชอบหลักการความคืบหน้า การส่งมอบพื้นที่และการรื้อย้ายสาธารณูปโภค โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ซึ่งทาง คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) นำเสนอ เพิ่มค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำนวน 2,170 ล้านบาท จากกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ 3,570 ล้านบาท เพิ่มเป็น 5,740 ล้านบาท โดยสำนักงบประมาณมี ความเห็นให้พิจารณาค่าเวนคืนตามความเป็นจริง พร้อมกันนี้ได้ทาง อีอีซีพิจารณา หากมีวงเงินเหลือให้นำมาเป็นค่าเวนคืน ได้

          ทั้งนี้ ได้ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) เร่งดำเนินการและจัดทำไทม์ไลน์การดำเนินงาน รายงานต่ออีอีซีและกระทรวงคมนาคม ทุกเดือน การส่งมอบพื้นที่เป็น 3 ช่วง ตามเป้าหมาย  คือ ส่วนนอกเมืองตั้งแต่สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ซึ่งจะออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) ให้เอกชนเข้าพื้นที่เริ่มก่อสร้างได้ ภายใน วันที่ 24 ต.ค2564  และการส่งมอบรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ช่วงสุวรรณภูมิ-มักกะสัน-พญาไท) และเฟส 2 ส่วนพื้นที่ในเมืองตั้งแต่พญาไท-ดอนเมือง มีกำหนดส่งภายใน 2 ปีหรือภายในเดือน ต.ค.2566 ซึ่งจากการติดตามความพร้อมคาดว่าจะสามารถเร่งรัดและส่งมอบได้ไม่เกิน เดือน ธ.ค. 2565

          งบค่าเวนคืนที่เพิ่มขึ้น  2,170 ล้านบาทแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ  วงเงิน 607 ล้านบาท เป็นงบกลางปี 2564 ใช้สำหรับเป็นค่าเวนคืนที่ดิน ช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา เพื่อให้สามารถส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนได้ภายในเดือน ต.ค. 2564 และ ส่วนที่ 2 วงเงิน 1,562 ล้านบาท เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 สำหรับค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและสำรวจอสังหาริมทรัพย์ และเผื่อค่าอุทธรณ์เพิ่ม เติม

          นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.ได้เห็น ชอบแนวทางการแก้ปัญหาขาดแคลน ตู้คอนเทนเนอร์ในธุรกิจขนส่งสินค้าทาง ทะเลโดยให้ท่าเรือกรุงเทพ (ทกท.) ปรับลดค่าภาระตู้สินค้าเปล่าขาเข้า อัตรา 1,000 บาทต่อทีอียูสำหรับตู้ขนาด 20 ฟุต อัตรา 2,000 บาท สำหรับตู้ 40 ฟุต และอัตรา 2,250 บาทสำหรับตู้ 45 ฟุต เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม - เดือนมีนาคม 2564 รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เป็นจำนวนเงินประมาณ 5.2 ล้านบาท  และให้ท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ชดเชยค่ายกขนตู้สินค้าให้แก่เอกชนผู้ประกอบการนำเข้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยจ่ายส่วนลดคืนอัตรา 1,000 บาท ต่อทีอียู เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม - เดือนมีนาคม 2564 รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เป็นจำนวนเงินประมาณ 384 ล้านบาท

          ทั้งนี้ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ต้องสูญเสียรายได้ประมาณ 389 ล้านบาท โดย กทท.ได้เสนอขอหักวงเงิน ช่วยเหลือออกจากเงินที่ต้องส่งคืนกระทรวงการคลังรายปี ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ระบุว่าไม่สามารถทำได้เนื่องจากขัดต่อกฎหมาย ครม.จึงให้กทท.หารือกับกระทรวงการคลัง สำนัก งบประมาณ ในการพิจารณาเงินอุดหนุน

          "การชดเชยย้อนหลังเป็นช่วง ม.ค.- มี.ค. 64 ที่ตู้เปล่าขาดแคลน โดยผู้ประกอบการในช่วงนั้นก็นำใบเสร็จมาเคลมกับ การท่าเรือ ส่วนปัจจุบันสถานการณ์ตู้เปล่าเริ่มกลับมาประมาณ 30% หรือมีตู้ประมาณ 130,000 ทีอียู หรือมีปริมาณเท่ากับช่วง ต.ค. 2563 ซึ่งมีสัดส่วนใกล้กับการส่งออก ถือว่าสมดุลกัน ซึ่งตั้งแต่ เม.ย. กทท.จะประเมินปริมาณตู้เปล่าต่อเนื่อง หากไม่มีปัญหาขาดแคลน ก็ไม่ต้องอุดหนุนใดๆ"
ข่าวพัฒนาสาธารณูปโภค อื่นๆ