นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า สศช.เตรียมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อพิจารณาแนวทางร่วมกันเกี่ยวกับมาตรการพักชำระหนี้ให้กับผู้ประกอบการว่าจะออกมาตรการในลักษณะใด เบื้องต้นมองว่าการดำเนินมาตรการนี้หากจัดทำออกมาในลักษณะเดิม คือออกมาเป็นมาตรการที่ครอบคลุมทั้งหมดอาจไม่เหมาะสม เพราะการช่วยเหลือต้องดูให้รอบคอบ โดยปัจจุบันมีบางธุรกิจที่ฟื้นตัวได้ และบางธุรกิจที่มีปัญหาอยู่ตั้งแต่การระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบที่แล้ว จึงต้องมาพิจารณาร่วมกันให้เกิดความเหมาะสม

          "ปัจจุบันมีผู้ประกอบธุรกิจบางกลุ่มยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีการประเมินแล้วดูว่ามาตรการที่ออกไปเพียงพอหรือไม่ หากไม่พออาจมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือได้ แต่ต้องมีการหารือร่วมกันก่อนเพื่อให้เกิดความเหมาะสม"

          ส่วนสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่มีแนวโน้มที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ จนทำให้บางสถาบันการเงิน ประเมินว่า จะเพิ่มขึ้นถึงระดับ 90% ต่อจีดีพีนั้นส่วนตัวมองว่าการปรับเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี มาจากการที่จีดีพีหดตัวลงในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของหนี้ครัวเรือนจะกระทบการใช้จ่ายและการบริโภคของประชาชน ทำให้ประชาชนไม่มีกำลังซื้อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวังและหาทางแก้ไข และสุดท้ายอาจทำให้กระทบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้

          ก่อนหน้านี้ นางวิเรขา สันตะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ธปท. กล่าวว่าหลังสิ้นสุดมาตรการพักหนี้และช่วงเวลาผ่อนผันการจัดชั้นหนี้สิ้นเดือน ธ.ค. 63 พบว่า มีลูกหนี้ภาคธุรกิจที่เป็นเอสเอ็มอีวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 100 ล้านบาท เข้ารับความช่วยเหลือต่อ 5% จนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. 64 ทั้งพักหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยหรือพักเงินต้นอย่างเดียว เลือกจ่ายแค่ดอกเบี้ย ส่วนลูกหนี้รายย่อยมี 29% จากผู้ได้รับความช่วยเหลือในรอบแรกเท่านั้นที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ต่อ โดยธนาคารต้องเร่งเข้าหาลูกหนี้เพื่อช่วยเหลือ