รายงานข่าวจากธนาคารพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้สมาคมธนาคารไทยได้หารือกับสมาชิกเป็นการด่วนถึงแนวทางการช่วยเหลือลูกหนี้ในระยะต่อไปซึ่งจะจัดแบ่งกลุ่มลูกหนี้ตามความสามารถในการแข่งขันหรือความแข็งแรงของธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อให้ความช่วยเหลือแตกต่างตามความจำเป็นโดยสมาคมธนาคารไทยจะเสนอผ่านคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ไปยังศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา

          สำหรับข้อเสนอมีบางเรื่องที่ต้องการให้สถาบันการเงินดูแลภาคธุรกิจอาจต้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาปรับหลักเกณฑ์จะเป็นอีกเครื่องมือในการทำนโยบายการเงินที่ทำผ่านสถาบันการเงินและช่วยเศรษฐกิจได้มากกว่าการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย

          นายเชาว์ เก่งชน ประธานกรรมการบริหารบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า สถาบันการเงินต้องดูแลภาคธุรกิจที่ได้รับผล กระทบจากโควิด-19 ซึ่งหลังจาก ธปท. ออกมาตรการพักชำระหนี้แล้วขอให้สถาบันการเงินดูแลลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบแล้วแต่ภาคธุรกิจบางส่วนยังต้องการความช่วยเหลือต่อทำให้กลไกปกติในการทำนโยบายการเงินด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายช่วยได้น้อย

          นอกจากนี้ในภาวะเช่นนี้ยังมีโอกาสที่ ธปท.อาจจะลดค่านำส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (เอฟไอดีเอฟ) หรือทำมาตรการอื่นนอกจากการลดดอกเบี้ย และหากจำเป็นดอกเบี้ยก็ยังปรับลดได้ซึ่งขณะนี้ต้องไปดูปัญหาว่าอยู่ที่ตรงไหน และดูว่า ธปท.จะมีนโยบายหรือมาตรการอะไรบ้าง

          นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่ ธปท.จะใช้มาตรการทางการเงินที่ไม่ได้ใช้ในช่วงเวลาปกติ เช่นการลดเงินนำส่งเอฟไอดีเอฟ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 0.23% ถึงปี 64 โดยอาจมีการลดลงทั้งหมด, ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 0.5% โดยอาจลดเหลือ 0.25% ต่อปีและสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยเพื่อประคองเศรษฐกิจในช่วงที่มีปัญหาการเมืองควบคู่กับปัญหาโควิด-19 มองว่าในขณะนี้การลดดอกเบี้ยโดยรวมอาจยังไม่จำเป็น"