ผู้ว่าฯธปท.เปิด5โจทย์หิน แก้โควิดฉุดจีดีพีทรุดยาว
วันที่ : 21 ตุลาคม 2563
ผู้ว่าธปท.ลุยวิกฤตหนี้ ตั้ง 5โจทย์ใหญ่ ฟื้นศก.
ผู้ว่าแบงก์ชาติเปิด 5 โจทย์หินแก้เศรษฐกิจ ชูวาระ ด่วนเร่งสางวิกฤติหนี้ยั่งยืน รักษาเสถียรภาพระบบการเงิน รับโควิดทุบจีดีพีทรุดยาว คาดฟื้นตัว กลับมาปกติไตรมาส 3 ปี 2565 ปรับยุทธศาสตร์ดูแล หยุดใช้มาตรการปูพรม แต่หันมาเน้นช่วยตรงจุดมากขึ้น ห่วงการเมืองป่วนลากยาวกระทบเชื่อมั่น
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการหลังรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย ที่ได้รับ ผลกระทบจากการระบาดของ โควิด-19 ขณะที่ประเทศไทยปัจจัยทางการเมืองเข้ามาเป็นความเสี่ยงเพิ่มเติม
ผู้ว่าการธปท. ยอมรับว่า วิกฤติโควิด-19เป็นวิกฤติที่ลุกลามทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย จนนำไปสู่การล็อกดาวน์ ซึ่งส่งผลให้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก ทำให้ช็อกครั้งนี้มีผลต่อเศรษฐกิจรุนแรงมาก ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของธปท. หลังจากนี้ จะต้องให้ความสำคัญกับ 5 โจทย์ใหญ่ เพื่อใช้แก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
ประการแรก แก้วิกฤติหนี้อย่างยั่งยืน ให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือนรายย่อย เพื่อให้สามารถผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้ ซึ่งต้องให้ความสำคัญทั้งในเรื่องสภาพคล่อง และการปรับโครงสร้างหนี้มากขึ้น และคำนึงถึงการแก้ไขปัญหาทั้งในภาพรวมและแต่ละเซกเตอร์เป็นรายลูกหนี้ด้วย
รายงานล่าสุดของ ธปท.พบว่า หลังใช้ มาตรการพักหนี้ปรากฏว่า มีลูกหนี้ เข้าโครงการกว่า 6.9 ล้านล้านบาท หรือ ราว 11.1 ล้านบัญชี โดยมาตรการพักหนี้จะสิ้นสุดในวันที่ 22 ต.ค.นี้ ขณะที่หนี้ครัวเรือนสิ้นสุดไตรมาส2/2563 ขยับขึ้นเป็น 83.8% ต่อจีดีพี จากไตรมาสแรกที่อยู่ที่ 80.1% ต่อจีดีพี
รักษาเสถียรภาพการเงิน
ประการที่ 2 รักษาเสถียรภาพระบบการเงิน ให้เข้มแข็ง มีเงินกองทุนและสำรองที่แข็งแรงเพียงพอ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบสถาบันการเงินทำหน้าที่ได้ และเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ ประการที่ 3 รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ให้มั่นใจว่าโครงสร้างเศรษฐกิจไทยสามารถรองรับความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดการเงิน และรองรับการเข้าสู่วิถีโลกใหม่ หรือ New Normal ได้
"3 โจทย์ใหญ่ทั้งแก้วิกฤติหนี้ ดูแลเสถียรภาพการเงิน และ เศรษฐกิจมหภาค เป็นภารกิจที่แบงก์ชาติต้องขับเคลื่อนปกติอยู่แล้ว แต่ต้องมีความเข้มข้นในการแก้ปัญหามากขึ้น"
พร้อมปรับตัวรับยุคใหม่
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เรื่องที่ ธปท.ต้องทำเพิ่มเติม ประการต่อมา คือ การสร้าง ความเชื่อมั่นของสาธารณชนให้ธปท. เป็นองค์กรที่ประชาชนเชื่อมั่นที่สุด เนื่องจากความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่สำคัญ ดังนั้นหน้าที่ของธปท.จะต้องดูภาพรวมและการสื่อสารให้มีความเชื่อมั่นมากขึ้น และต้องทำให้เข้มแข็งมากขึ้น ต้องคิดรอบ ตอบได้ สื่อสารออกมาให้ชัดเจน
ประการสุดท้าย คือการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ธปท.เป็นองค์กรที่มุ่งสัมฤทธิ์ และสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจและสังคมไทย ธปท.เป็นองค์กรที่มีคนเก่งและทุ่มเท จึงออกมาเป็นผลงาน แต่ก็มีระดับชั้นของการทำงานเยอะมาก ดังนั้นธปท.ต้องปลดล็อกด้านดังกล่าว เพื่อให้การแก้ปัญหาในเรื่องต่างๆเป็นไปตามแผนที่ธปท.วางไว้
"เราต้องปรับตัว จัดองคาพยพใหม่ หลังรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ต.ค. เรามีการปรับแผนงานให้สอดคล้องกับบริบทที่เจอ เพราะเป็นงานที่กว้างมาก และทำงานสารพัดเรื่อง ซึ่งมีแผน 3 ปีที่จะต้องทำในหลายด้าน"
โควิดทุบจีดีพีทรุดยาว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจ จากผลกระทบโควิด-19 ยอมรับว่ามีผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว ที่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะลดเหลือ 7 ล้านคน จาก 40 ล้านคน ทำให้รายได้ จากภาคการท่องเที่ยวหายไป 1.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของจีดีพี ขณะที่ภาคส่งออก ติดลบหนักในรอบ 11 ปี ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา สภาพเศรษฐกิจไทยขณะนี้จึงเปรียบเสมือนอาการของผู้ป่วยหนักที่รักษาตัว อยู่ในห้องไอซียู
หลังจากผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หรือเมื่อผู้ป่วยออกมาพักฟื้นจากไอซียูแล้ว บริบทประเทศได้เปลี่ยนไปอย่างน้อย 3 ด้าน ด้านแรก การฟื้นตัวเศรษฐกิจจะแตกต่างกันมาก ฟื้นตัวไม่เท่าเทียมกัน (Uneven) ทั้งด้านเศรษฐกิจ พื้นที่ และขนาดของธุรกิจ หนักที่สุดธุรกิจโรงแรม ที่วันนี้กลับมาได้เพียง 25 % หากเทียบกับก่อนโควิด-19
ด้านที่ 2 การฟื้นตัวของเศรษฐกิจคาดว่าจะใช้เวลายาวนาน ไม่น้อยกว่า 2 ปี โดยจากประมาณการเศรษฐกิจของธปท.ปีนี้คาดว่า จีดีพีจะติดลบอยู่ที่ 7.8% โดยหลังจากนี้จะเห็นเศรษฐกิจติดลบทุกไตรมาสในปีนี้ ยาวไปถึงไตรมาสแรกปีหน้า เศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกครั้งแรกในไตรมาส 2/2564 แต่จะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ก่อนจะกลับไปขยายตัวในระดับเดียวกันกับก่อนเกิด โควิด-19 ในไตรมาส 3 ปี 2565
ด้านสุดท้ายความไม่แน่นอนที่มีอยู่สูงมากว่าโควิด-19 รอบสองจะมีหรือไม่ วัคซีน หรือนักท่องเที่ยวกลับมาเมื่อไหร่ เหล่านี้ยังมีความไม่แน่นอนสูงมาก ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ถ่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างมีนัย
เน้นช่วยตรงจุด-ครบวงจร
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เมื่อบริบทเปลี่ยน ธปท. จึงประเมินว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาต้องปรับจากการใช้มาตรการที่ปูพรมการให้ความช่วยเหลือเป็นการทั่วไป เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเร่งด่วน มาเป็นการช่วยเหลือแบบตรงจุด (targeted) ครบวงจร (comprehensive) และยืดหยุ่น (flexible) โดยพิจารณาถึงผลข้างเคียง เพราะมีทรัพยากรจำกัด จึงต้องใช้ให้ถูกจุดเพื่อช่วยคนที่จำเป็นให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
"ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว เช่น การพักชำระหนี้ จากการปูพรมช่วยช่วงล็อกดาวน์ที่ธุรกิจต้องหยุดดำเนินการ พนักงานต้องหันมาทำงานจากที่บ้าน หรือถูกลดชั่วโมงการทำงาน ทำให้ขาดรายได้ มาเป็นการ ส่งเสริมให้สถาบันการเงินปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมตามความสามารถของ ลูกหนี้ ซึ่งเป็นการช่วยแบบตรงจุดกว่า เช่นเดียวกับหมอที่รักษาคนไข้ตามความหนักเบาของอาการที่ป่วย"
สำหรับระยะต่อไป โจทย์จะไม่ใช่แค่ซอฟท์โลน ไม่ใช่แค่การแช่แข็ง และการให้สินเชื่อ แต่จะทำอย่างไรให้ปรับโครงสร้างหนี้ได้เร็ว ที่ต้องสปีด ต้องเร็ว และท้ายที่สุดวิธีการจัดการเอ็นพีแอล โดยใช้กลไกต่างๆในการจัดการ รวมถึงการตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ ต้องมีเครื่องมือที่ครบ และหลากหลาย เพราะการฟื้นตัวครั้งนี้ยาว และมีความไม่แน่นอนสูง
อีกทั้งการทำนโยบายต่างๆต้องคำนึงถึงผลข้างเคียงและผลระยะยาวด้วย ไม่ให้ปัญหาระยะสั้นบั่นทอนการฟื้นตัวเศรษฐกิจในระยะยาว เช่นพักหนี้ หากพักไปนานๆ อาจทำให้เกิดการจงใจผิดนัดชำระหนี้ หรือ Moral Hazard ซึ่งหากปล่อยไว้อาจเกิดปัญหา เป็นวงกว้าง ซึ่งกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน การแก้ปัญหาต้องคำนึงถึงภาพ รวม ทั้งสถาบันการเงิน ผู้กู้ ผู้ฝากเงิน
หวังคลังพระเอกฟื้นเศรษฐกิจ
สำหรับค่าเงินบาท ผู้ว่าธปท.กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ สถิติ 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า ค่าเงินบาทขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของสกุลเงินหลัก และการเคลื่อนไหวของค่าเงิน ในภูมิภาคถึง 85% ขณะที่ 15% มาจากปัจจัยในประเทศ ดังนั้นการบริหารจัดการค่าเงินบาทมีจำกัด อีกด้านที่ทำให้บาทแข็งค่า คือการเกิดดุลบัญชีเดินสะพัด ดังนั้นต้องหาวิธีรีไซเคิลเงินให้ออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น
ส่วนการดำเนินนโยบายการเงิน ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% ถือว่าต่ำสุดในภูมิภาค และต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ช่องว่างหรือความสามารถในด้านดอกเบี้ยมีจำกัด ฉะนั้นมาตรตการด้านการคลังคงต้องเป็นพระเอก ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่นโยบายการเงินเปรียบเสมือนกองหลัง โดยโจทย์ของธปท. คือทำอย่างไรให้การดำเนินนโยบายการเงิน ด้านดอกเบี้ย สภาพคล่อง สภาวะตลาดเงินไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ
"นโยบายการเงินไม่ใช่กองหน้า แต่โดยธรรมชาติการเป็นกองหลังสำคัญมาก แต่หากมีข้อจำกัด หากกองหลังไม่แข็ง เตะอย่างไรก็แพ้ ดังนั้นก็ต้องใช้มั่นใจว่า เสถียรภาพเราดี"
สำหรับสถานการณ์ทางการเมือง เป็นปัจจัยที่ต้องติดตามใกล้ชิด รวมถึงติดตามว่าปัญหาดังกล่าวลากยาวหรือไม่ แต่เบื้องต้นเชื่อว่าปัจจัยทางการเมือง กระทบต่อความมั่น การลงทุน การบริโภค และการท่องเที่ยวว่าจะกลับมาเมื่อใด ซึ่งสิ่งที่ธปท.กังวลคือ กระทบต่อความสามารถการจัดการในด้านต่างๆ
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการหลังรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย ที่ได้รับ ผลกระทบจากการระบาดของ โควิด-19 ขณะที่ประเทศไทยปัจจัยทางการเมืองเข้ามาเป็นความเสี่ยงเพิ่มเติม
ผู้ว่าการธปท. ยอมรับว่า วิกฤติโควิด-19เป็นวิกฤติที่ลุกลามทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย จนนำไปสู่การล็อกดาวน์ ซึ่งส่งผลให้ กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก ทำให้ช็อกครั้งนี้มีผลต่อเศรษฐกิจรุนแรงมาก ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของธปท. หลังจากนี้ จะต้องให้ความสำคัญกับ 5 โจทย์ใหญ่ เพื่อใช้แก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
ประการแรก แก้วิกฤติหนี้อย่างยั่งยืน ให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือนรายย่อย เพื่อให้สามารถผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปได้ ซึ่งต้องให้ความสำคัญทั้งในเรื่องสภาพคล่อง และการปรับโครงสร้างหนี้มากขึ้น และคำนึงถึงการแก้ไขปัญหาทั้งในภาพรวมและแต่ละเซกเตอร์เป็นรายลูกหนี้ด้วย
รายงานล่าสุดของ ธปท.พบว่า หลังใช้ มาตรการพักหนี้ปรากฏว่า มีลูกหนี้ เข้าโครงการกว่า 6.9 ล้านล้านบาท หรือ ราว 11.1 ล้านบัญชี โดยมาตรการพักหนี้จะสิ้นสุดในวันที่ 22 ต.ค.นี้ ขณะที่หนี้ครัวเรือนสิ้นสุดไตรมาส2/2563 ขยับขึ้นเป็น 83.8% ต่อจีดีพี จากไตรมาสแรกที่อยู่ที่ 80.1% ต่อจีดีพี
รักษาเสถียรภาพการเงิน
ประการที่ 2 รักษาเสถียรภาพระบบการเงิน ให้เข้มแข็ง มีเงินกองทุนและสำรองที่แข็งแรงเพียงพอ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบสถาบันการเงินทำหน้าที่ได้ และเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ ประการที่ 3 รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ให้มั่นใจว่าโครงสร้างเศรษฐกิจไทยสามารถรองรับความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดการเงิน และรองรับการเข้าสู่วิถีโลกใหม่ หรือ New Normal ได้
"3 โจทย์ใหญ่ทั้งแก้วิกฤติหนี้ ดูแลเสถียรภาพการเงิน และ เศรษฐกิจมหภาค เป็นภารกิจที่แบงก์ชาติต้องขับเคลื่อนปกติอยู่แล้ว แต่ต้องมีความเข้มข้นในการแก้ปัญหามากขึ้น"
พร้อมปรับตัวรับยุคใหม่
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เรื่องที่ ธปท.ต้องทำเพิ่มเติม ประการต่อมา คือ การสร้าง ความเชื่อมั่นของสาธารณชนให้ธปท. เป็นองค์กรที่ประชาชนเชื่อมั่นที่สุด เนื่องจากความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่สำคัญ ดังนั้นหน้าที่ของธปท.จะต้องดูภาพรวมและการสื่อสารให้มีความเชื่อมั่นมากขึ้น และต้องทำให้เข้มแข็งมากขึ้น ต้องคิดรอบ ตอบได้ สื่อสารออกมาให้ชัดเจน
ประการสุดท้าย คือการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ธปท.เป็นองค์กรที่มุ่งสัมฤทธิ์ และสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจและสังคมไทย ธปท.เป็นองค์กรที่มีคนเก่งและทุ่มเท จึงออกมาเป็นผลงาน แต่ก็มีระดับชั้นของการทำงานเยอะมาก ดังนั้นธปท.ต้องปลดล็อกด้านดังกล่าว เพื่อให้การแก้ปัญหาในเรื่องต่างๆเป็นไปตามแผนที่ธปท.วางไว้
"เราต้องปรับตัว จัดองคาพยพใหม่ หลังรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ต.ค. เรามีการปรับแผนงานให้สอดคล้องกับบริบทที่เจอ เพราะเป็นงานที่กว้างมาก และทำงานสารพัดเรื่อง ซึ่งมีแผน 3 ปีที่จะต้องทำในหลายด้าน"
โควิดทุบจีดีพีทรุดยาว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจ จากผลกระทบโควิด-19 ยอมรับว่ามีผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว ที่คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะลดเหลือ 7 ล้านคน จาก 40 ล้านคน ทำให้รายได้ จากภาคการท่องเที่ยวหายไป 1.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของจีดีพี ขณะที่ภาคส่งออก ติดลบหนักในรอบ 11 ปี ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา สภาพเศรษฐกิจไทยขณะนี้จึงเปรียบเสมือนอาการของผู้ป่วยหนักที่รักษาตัว อยู่ในห้องไอซียู
หลังจากผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หรือเมื่อผู้ป่วยออกมาพักฟื้นจากไอซียูแล้ว บริบทประเทศได้เปลี่ยนไปอย่างน้อย 3 ด้าน ด้านแรก การฟื้นตัวเศรษฐกิจจะแตกต่างกันมาก ฟื้นตัวไม่เท่าเทียมกัน (Uneven) ทั้งด้านเศรษฐกิจ พื้นที่ และขนาดของธุรกิจ หนักที่สุดธุรกิจโรงแรม ที่วันนี้กลับมาได้เพียง 25 % หากเทียบกับก่อนโควิด-19
ด้านที่ 2 การฟื้นตัวของเศรษฐกิจคาดว่าจะใช้เวลายาวนาน ไม่น้อยกว่า 2 ปี โดยจากประมาณการเศรษฐกิจของธปท.ปีนี้คาดว่า จีดีพีจะติดลบอยู่ที่ 7.8% โดยหลังจากนี้จะเห็นเศรษฐกิจติดลบทุกไตรมาสในปีนี้ ยาวไปถึงไตรมาสแรกปีหน้า เศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกครั้งแรกในไตรมาส 2/2564 แต่จะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ก่อนจะกลับไปขยายตัวในระดับเดียวกันกับก่อนเกิด โควิด-19 ในไตรมาส 3 ปี 2565
ด้านสุดท้ายความไม่แน่นอนที่มีอยู่สูงมากว่าโควิด-19 รอบสองจะมีหรือไม่ วัคซีน หรือนักท่องเที่ยวกลับมาเมื่อไหร่ เหล่านี้ยังมีความไม่แน่นอนสูงมาก ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ถ่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างมีนัย
เน้นช่วยตรงจุด-ครบวงจร
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เมื่อบริบทเปลี่ยน ธปท. จึงประเมินว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาต้องปรับจากการใช้มาตรการที่ปูพรมการให้ความช่วยเหลือเป็นการทั่วไป เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเร่งด่วน มาเป็นการช่วยเหลือแบบตรงจุด (targeted) ครบวงจร (comprehensive) และยืดหยุ่น (flexible) โดยพิจารณาถึงผลข้างเคียง เพราะมีทรัพยากรจำกัด จึงต้องใช้ให้ถูกจุดเพื่อช่วยคนที่จำเป็นให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
"ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว เช่น การพักชำระหนี้ จากการปูพรมช่วยช่วงล็อกดาวน์ที่ธุรกิจต้องหยุดดำเนินการ พนักงานต้องหันมาทำงานจากที่บ้าน หรือถูกลดชั่วโมงการทำงาน ทำให้ขาดรายได้ มาเป็นการ ส่งเสริมให้สถาบันการเงินปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมตามความสามารถของ ลูกหนี้ ซึ่งเป็นการช่วยแบบตรงจุดกว่า เช่นเดียวกับหมอที่รักษาคนไข้ตามความหนักเบาของอาการที่ป่วย"
สำหรับระยะต่อไป โจทย์จะไม่ใช่แค่ซอฟท์โลน ไม่ใช่แค่การแช่แข็ง และการให้สินเชื่อ แต่จะทำอย่างไรให้ปรับโครงสร้างหนี้ได้เร็ว ที่ต้องสปีด ต้องเร็ว และท้ายที่สุดวิธีการจัดการเอ็นพีแอล โดยใช้กลไกต่างๆในการจัดการ รวมถึงการตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ ต้องมีเครื่องมือที่ครบ และหลากหลาย เพราะการฟื้นตัวครั้งนี้ยาว และมีความไม่แน่นอนสูง
อีกทั้งการทำนโยบายต่างๆต้องคำนึงถึงผลข้างเคียงและผลระยะยาวด้วย ไม่ให้ปัญหาระยะสั้นบั่นทอนการฟื้นตัวเศรษฐกิจในระยะยาว เช่นพักหนี้ หากพักไปนานๆ อาจทำให้เกิดการจงใจผิดนัดชำระหนี้ หรือ Moral Hazard ซึ่งหากปล่อยไว้อาจเกิดปัญหา เป็นวงกว้าง ซึ่งกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงิน การแก้ปัญหาต้องคำนึงถึงภาพ รวม ทั้งสถาบันการเงิน ผู้กู้ ผู้ฝากเงิน
หวังคลังพระเอกฟื้นเศรษฐกิจ
สำหรับค่าเงินบาท ผู้ว่าธปท.กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ สถิติ 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า ค่าเงินบาทขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของสกุลเงินหลัก และการเคลื่อนไหวของค่าเงิน ในภูมิภาคถึง 85% ขณะที่ 15% มาจากปัจจัยในประเทศ ดังนั้นการบริหารจัดการค่าเงินบาทมีจำกัด อีกด้านที่ทำให้บาทแข็งค่า คือการเกิดดุลบัญชีเดินสะพัด ดังนั้นต้องหาวิธีรีไซเคิลเงินให้ออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น
ส่วนการดำเนินนโยบายการเงิน ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% ถือว่าต่ำสุดในภูมิภาค และต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ช่องว่างหรือความสามารถในด้านดอกเบี้ยมีจำกัด ฉะนั้นมาตรตการด้านการคลังคงต้องเป็นพระเอก ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่นโยบายการเงินเปรียบเสมือนกองหลัง โดยโจทย์ของธปท. คือทำอย่างไรให้การดำเนินนโยบายการเงิน ด้านดอกเบี้ย สภาพคล่อง สภาวะตลาดเงินไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ
"นโยบายการเงินไม่ใช่กองหน้า แต่โดยธรรมชาติการเป็นกองหลังสำคัญมาก แต่หากมีข้อจำกัด หากกองหลังไม่แข็ง เตะอย่างไรก็แพ้ ดังนั้นก็ต้องใช้มั่นใจว่า เสถียรภาพเราดี"
สำหรับสถานการณ์ทางการเมือง เป็นปัจจัยที่ต้องติดตามใกล้ชิด รวมถึงติดตามว่าปัญหาดังกล่าวลากยาวหรือไม่ แต่เบื้องต้นเชื่อว่าปัจจัยทางการเมือง กระทบต่อความมั่น การลงทุน การบริโภค และการท่องเที่ยวว่าจะกลับมาเมื่อใด ซึ่งสิ่งที่ธปท.กังวลคือ กระทบต่อความสามารถการจัดการในด้านต่างๆ
ข่าวนโยบายการเงิน-การคลัง อื่นๆ