คอนโดฯในเมืองวิกฤติ
วันที่ : 18 ตุลาคม 2562
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า มีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ เหลือค้างสต๊อกจำนวนมาก ในสิ้นปีนี้น่าจะมียอดค้างสต๊อกสูงถึง 63,683 หน่วย และปีหน้าเหลือที่ 63,733 หน่วย สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังในรอบ 5 ปี โดยปัจจัยมาจากเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ประชาชนกังวลการเป็นหนี้ระยะยาว รวมถึงมาตรการคุมเข้มสินเชื่อของทางการ และมีผู้ซื้อเพื่อการเก็งกำไรหรือต้องการบ้านหลังที่ 2 ที่มีประมาณ 20-30% ลดลง
ชี้กำลังซื้อตกหนักมาก
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า มีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ เหลือค้างสต๊อกจำนวนมาก ในสิ้นปีนี้น่าจะมียอดค้างสต๊อกสูงถึง 63,683 หน่วย และปีหน้าเหลือที่ 63,733 หน่วย สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังในรอบ 5 ปี โดยปัจจัยมาจากเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ประชาชนกังวลการเป็นหนี้ระยะยาว รวมถึงมาตรการคุมเข้มสินเชื่อของทางการ และมีผู้ซื้อเพื่อการเก็งกำไรหรือต้องการบ้านหลังที่ 2 ที่มีประมาณ 20-30% ลดลง
สำหรับทำเลคอนโดฯ ที่เหลือขายมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ทำเลห้วยขวาง จตุจักร ดินแดง มี 8,752 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 38,240 ล้านบาท 2.ทำเลสุขุมวิท มี 6,436 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 65,503 ล้านบาท 3.ทำเลเมืองนนทบุรี ปากเกร็ด มี 6,357 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 17,086 ล้านบาท 4.ทำเลธนบุรี คลองสาน บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ บางพลัด มี 6,194 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 22,020 ล้านบาท และทำเลลำลูกกา คลองหลวง ธัญบุรี หนองเสือ มี 5,794 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 7,451 ล้านบาท
ขณะที่ทำเลบ้านจัดสรรที่เหลือขายมากที่สุด 5 อันดับแรก อันดับหนึ่งทำเลบางใหญ่-บางบัวทอง บางกรวย ไทรน้อย มี 15,008 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 65,681 ล้านบาท รองลงมาทำเลลำลูกกา คลองหลวง ธัญบุรี หนองเสือ มี 13,046 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 44,523 ล้านบาท ทำเลบางพลี บางบ่อ บางเสาธง มี 9,095 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 41,793 ล้านบาท ทำเลเมืองสมุทรปราการ พระประแดง พระสมุทรเจดีย์ มี 7,337 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 20,861 ล้านบาท และทำเลคลองสามวา มีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง มี 5,567 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 25,728 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮาส์ 2.01-3 ล้านบาทมากที่สุด
ภาพรวมที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีแรก มีหน่วยเหลือขาย 152,149 หน่วย เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15.4% คิดเป็นมูลค่า 669,670 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.2% แยกเป็นบ้านจัดสรรเหลือขาย 87,180 หน่วย มูลค่า 404,369 ล้านบาท โครงการอาคารชุดเหลือขาย 64,969 หน่วย คิดเป็น 265,301 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์อัตราดูดต่อซับต่อเดือนลดลงมากที่สุด 1% ที่น่าห่วงสุดคือโครงการคอนโดฯ เหลือค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ
ทั้งนี้ ส่งผลให้ภาพรวมการโอนที่อยู่อาศัยปีนี้คาดว่าติดลบ 5-7% จากปกติที่ตลาดในแต่ละปีจะขยายตัวได้ 5% ดังนั้นจึงต้องการให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง โดยเน้นการลดค่าใช้จ่ายในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของประชาชน เช่น ลดค่าโอน หรือค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เพื่อให้มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น เพราะถ้าไม่ทำอะไร ภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้า จะติดลบต่อเนื่องประมาณ 5% ส่วนมาตรการแอลทีวีคิดว่าไม่ควรไปยุ่งอะไร เพราะในระยะยาว เป็นมาตรการที่ทำให้คนมีวินัยการเงินมากขึ้น แนวโน้มที่อยู่อาศัยในปี 63 กรุงเทพฯ ปริมณฑล จะมีเหลือขาย 152,792 หน่วยแบ่งเป็นบ้านจัดสรร 84,469 หน่วย คอนโดฯ 65,864 หน่วย
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า มีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์คอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ เหลือค้างสต๊อกจำนวนมาก ในสิ้นปีนี้น่าจะมียอดค้างสต๊อกสูงถึง 63,683 หน่วย และปีหน้าเหลือที่ 63,733 หน่วย สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลังในรอบ 5 ปี โดยปัจจัยมาจากเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ประชาชนกังวลการเป็นหนี้ระยะยาว รวมถึงมาตรการคุมเข้มสินเชื่อของทางการ และมีผู้ซื้อเพื่อการเก็งกำไรหรือต้องการบ้านหลังที่ 2 ที่มีประมาณ 20-30% ลดลง
สำหรับทำเลคอนโดฯ ที่เหลือขายมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ทำเลห้วยขวาง จตุจักร ดินแดง มี 8,752 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 38,240 ล้านบาท 2.ทำเลสุขุมวิท มี 6,436 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 65,503 ล้านบาท 3.ทำเลเมืองนนทบุรี ปากเกร็ด มี 6,357 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 17,086 ล้านบาท 4.ทำเลธนบุรี คลองสาน บางกอกน้อย บางกอกใหญ่ บางพลัด มี 6,194 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 22,020 ล้านบาท และทำเลลำลูกกา คลองหลวง ธัญบุรี หนองเสือ มี 5,794 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 7,451 ล้านบาท
ขณะที่ทำเลบ้านจัดสรรที่เหลือขายมากที่สุด 5 อันดับแรก อันดับหนึ่งทำเลบางใหญ่-บางบัวทอง บางกรวย ไทรน้อย มี 15,008 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 65,681 ล้านบาท รองลงมาทำเลลำลูกกา คลองหลวง ธัญบุรี หนองเสือ มี 13,046 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 44,523 ล้านบาท ทำเลบางพลี บางบ่อ บางเสาธง มี 9,095 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 41,793 ล้านบาท ทำเลเมืองสมุทรปราการ พระประแดง พระสมุทรเจดีย์ มี 7,337 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 20,861 ล้านบาท และทำเลคลองสามวา มีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง มี 5,567 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 25,728 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮาส์ 2.01-3 ล้านบาทมากที่สุด
ภาพรวมที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีแรก มีหน่วยเหลือขาย 152,149 หน่วย เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15.4% คิดเป็นมูลค่า 669,670 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.2% แยกเป็นบ้านจัดสรรเหลือขาย 87,180 หน่วย มูลค่า 404,369 ล้านบาท โครงการอาคารชุดเหลือขาย 64,969 หน่วย คิดเป็น 265,301 ล้านบาท ทาวน์เฮาส์อัตราดูดต่อซับต่อเดือนลดลงมากที่สุด 1% ที่น่าห่วงสุดคือโครงการคอนโดฯ เหลือค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ
ทั้งนี้ ส่งผลให้ภาพรวมการโอนที่อยู่อาศัยปีนี้คาดว่าติดลบ 5-7% จากปกติที่ตลาดในแต่ละปีจะขยายตัวได้ 5% ดังนั้นจึงต้องการให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง โดยเน้นการลดค่าใช้จ่ายในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของประชาชน เช่น ลดค่าโอน หรือค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เพื่อให้มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น เพราะถ้าไม่ทำอะไร ภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้า จะติดลบต่อเนื่องประมาณ 5% ส่วนมาตรการแอลทีวีคิดว่าไม่ควรไปยุ่งอะไร เพราะในระยะยาว เป็นมาตรการที่ทำให้คนมีวินัยการเงินมากขึ้น แนวโน้มที่อยู่อาศัยในปี 63 กรุงเทพฯ ปริมณฑล จะมีเหลือขาย 152,792 หน่วยแบ่งเป็นบ้านจัดสรร 84,469 หน่วย คอนโดฯ 65,864 หน่วย
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ