เล็งเมิร์ชศูนย์ข้อมูลรวมธอส.

          ยกชั้นศูนย์เตือนภัยศก.ไทย

          นายนรินทร์ กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และประธานกรรมการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวในงานสัมมนาวิชาการในวาระครบรอบ 15 ปี ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. ว่า สถานการณ์ภาคอสังหาฯ ขณะนี้ชะลอตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจและกฎระเบียบใหม่ๆ ที่ออกมา เช่น เกณฑ์กำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ (มาตรการแอลทีวี) แต่เชื่อว่าจะไม่เกิดวิกฤตและซ้ำรอยเหมือนวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง

          นายนรินทร์ กล่าวถึง บทบาทของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ว่า จัดตั้งขึ้นหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 มีบทบาทสำคัญคือ เป็นศูนย์เตือนภัยด้านอสังหาฯ แต่ปัจจุบันยังทำหน้าที่แค่รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์จัดทำรายงานพื้นฐานเท่านั้น จึงต้องเสริมบทบาทมากขึ้นคือ ต้องเก็บฐานข้อมูล (บิ๊กดาต้า) ที่หลากหลาย และเป็นปัจจุบัน (เรียลไทม์) การวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึกโดยใช้นวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง เป็นต้น รวมถึงต้องมีการประเมินการเปลี่ยนแปลงทางการเงิน เช่น ฟินเทค การออกสกุลเงินดิจิทัลใหม่ ซึ่งกระทบต่อระบบการเงินการคลังของประเทศและกระทบต่อถึงภาคอสังหาฯได้

          "อยู่ระหว่างทบทวนบทบาทของศูนย์ ข้อมูลฯ แนวทางเบื้องต้นคาดว่าจะมีการเมิร์ช (รวม) เข้ากับ ธอส. โดยกรอบจะต้องเสร็จภายในปีนี้เพื่อเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) ศูนย์ข้อมูลฯ และเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป คาดว่าแล้วเสร็จใน 1 ปี เมื่อเมิร์ชแล้วทั้งสองจะสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกัน ทั้งคน งบประมาณ สถานที่ โดย ธอส.มีสาขาอยู่ 200 สาขาทั่วประเทศ เป็นจุดเสริมการทำงานของศูนย์ที่ปัจจุบันมีพนักงาน 40 คน ได้รับงบประมาณปีละ 70-80 ล้านบาท โดยยกบทบาทเป็นศูนย์เตือนภัยให้กับระบบเศรษฐกิจไทย และนอกจากการนำเสนอข้อมูลให้บริการสาธารณะแล้ว จะพัฒนาให้เป็นศูนย์ข้อมูลแบบ เทลเลอร์เมด สั่งตัดชุดข้อมูลตามที่ผู้ประกอบการต้องการ เป็นรายอำเภอ/จังหวัด ความต้องการที่อยู่อาศัย ราคา ศักยภาพการให้สินเชื่อ เป็นต้น จะสามารถสร้างรายได้ให้ศูนย์ข้อมูลยืนได้ด้วยตนเอง" นายนรินทร์กล่าว

          นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและผลจากมาตรการแอลทีวีที่บังคับใช้ ทำให้ภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาติดลบ 5% ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมจากการเร่งโอนไปก่อนหน้านี้ รวมครึ่งปีแรก ติดลบ 11% ส่วนแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะยังติดลบ ทั้งปีนี้ประเมินภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ตลาดอสังหาฯรวมจะติดลบ 7% โดยตลาด คอนโดคาดว่าจะติดลบ 14% ขณะที่ตลาดบ้านจะติดลบ 4%