หลังจากประเทศไทยของเรามีรัฐบาลใหม่ มาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจก็เริ่มถูกพูดถึง ทั้งเรื่องการปรับขึ้นค่าแรง การประกันรายได้ และเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รมว.กระทรวงคมนาคม ก็ได้มีแนวคิดเกี่ยวกับการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าให้เหลือใกล้เคียง 15 บาทตลอดสาย นำร่องสายสีม่วงและแอร์พอร์ตลิงค์ เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าเดินทางของประชาชน และยังเป็นการช่วยลดความแออัดของการใช้รถยนต์อีกด้วย

        ซึ่งหากแนวคิดนี้ถูกผลักดันให้เกิดขึ้นจริง ก็ถือว่าเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในวงกว้างไม่เพียงแต่ด้านคมนาคมเท่านั้น แต่ยังส่งอานิสงส์ไปยังภาคอสังหาริมทรัพย์บนทำเลชานเมืองอีกด้วย เพราะหากผู้คนเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองสะดวกมากขึ้น ควบคุมเวลาในการเดินทางได้แม่นยำขึ้น จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการกระจายการอยู่อาศัยไปสู่ชานเมือง โดยเฉพาะปัจจุบันที่ราคาที่ดินในเขตใจกลางเมืองมีราคาสูงจนเริ่มเข้าถึงได้ยาก

        ถึงแม้ว่าแนวคิดดังกล่าว จะนำร่องสายสีม่วงและแอร์พอร์ตลิงค์เพื่อหาความเหมาะสมในการให้บริการ แต่ก็มองว่าเป็นข่าวที่ดี และจะช่วยพลิกภาพของที่อยู่อาศัยทั้งสองแนวรถไฟฟ้านี้ให้ฟื้นตัวได้มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันรถไฟฟ้าสายสีม่วงถือว่าเป็นสายที่มีเส้นทางเชื่อมต่อที่มีศักยภาพ ตั้งแต่ช่วงตอนต้นแถวสถานีเตาปูน บางซ่อน วงศ์สว่าง ไปจนถึงบางใหญ่ที่มีการอยู่อาศัยค่อนข้างหนาแน่น

        ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าภาพรวมอุปทานของคอนโดมิเนียมสายสีม่วงจะค่อนข้างมีมาก แต่มองว่าหากมีปัจจัยบวกจากรถไฟฟ้าที่มีค่าโดยสารที่ถูกลง ก็น่าจะช่วยผลักดันให้ความต้องการอยู่อาศัยของคอนโดมิเนียมในโซนนี้มีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งย่านเตาปูน บางซ่อน วงศ์สว่าง เป็นสถานีช่วงต้นของรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่อยู่ใกล้เขตเมืองมากที่สุด เป็นทำเลที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับกลุ่มคนทำงานย่านรัชดา พระราม9 อโศก สาทร สีลม เพราะสามารถเดินทางไปทำงานได้สะดวกทางรถไฟฟ้า

        ส่วนทำเลโดยรอบแอร์พอร์ตลิงค์นั้น ก็ถือว่าเป็นที่น่าจับตาในการเป็นทำเลที่มีการอยู่อาศัยที่คักคักอีกหนึ่งทำเล โดยเฉพาะทำเลย่านรามคำแหง-หัวหมาก-กรุงเทพกรีฑา ซึ่งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ นำเสนอรายงานตลาดที่อยู่อาศัยระบุว่าเริ่มมีความคึกคักตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา มีโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ โฮมออฟฟิศ หลายโครงการ และหากผู้อยู่อาศัยในทำเลเหล่านี้ได้รับการเข้าถึงรถไฟฟ้าด้วยค่าโดยสารที่ถูกลง ก็จะช่วยตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักศึกษาและกลุ่มผู้ที่เริ่มทำงานได้อย่างดี

        ขณะเดียวกันจากการเก็บข้อมูลของฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พบว่าปี 2556 – 2561 ราคาที่ดินในย่านกรุงเทพกรีฑาปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 6-7% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยของที่ดินในกรุงเทพและปริมณฑลที่ปรับขึ้นเฉลี่ยประมาณ 5% ต่อปี ดังนั้นราคาที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพกรีฑาจึงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามราคาที่ดินที่ปรับเพิ่มขึ้น

        นอกจากนี้ยังมีปัจจัยแวดล้อมที่ดี มีทั้งสถานศึกษา โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ มีสวนสาธารณะและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาะกับการอยู่อาศัย และยังเป็นทำเลที่อยู่ไม่ไกลจาก CBD มากนัก จึงเป็นไปได้ว่ากรุงเทพกรีฑาจะกลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่แห่งใหม่ในอนาคต

       อย่างไรก็ตามการสนับสนุนให้ผู้คนในบริเวณนี้เข้าถึงการเดินทางระบบรางนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี และหากในอนาคตมีการปรับปรุงการให้บริการขบวนรถไฟฟ้าให้มีความถี่มากขึ้นก็จะช่วยลดปัญหาการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

       การคมนาคมนับว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่คนนำมาใช้พิจารณาเลือกที่อยู่อาศัย ดังนั้นการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าที่กำลังมีความคืบหน้าในปัจจุบันก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี เมื่อการเดินทางสะดวกสามารถเชื่อมต่อจากใจกลางเมืองกระจายไปยังพื้นที่โดยรอบกรุงเทพมหานคร ก็จะเกิดการกระจายตัวของความต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้น และที่สำคัญนอกจากความสะดวกสบายแล้ว

        หากรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถควบคุมค่าโดยสารให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและคนทั่วไปสามารถเอื้อมถึงได้ ก็จะช่วยผลักดันความเจริญให้กระจายตัวออกไป ส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตที่มากขึ้น และยังช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ช่วยสนับสนุนภาคเอกชนและธุรกิจตามแนวรถไฟฟ้าอีกด้วย