รายงานพิเศษ: LALIN กางแผนงานครึ่งปีหลัง เล็งเปิด 5 โครงการ มูลค่ารวม 2.5 พันล้าน
วันที่ : 30 กรกฎาคม 2562
บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN มุ่งมั่นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัย และความไว้วางใจจากลูกค้ามายาวนานกว่า 31 ปี ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม อาทิ แบรนด์ Lio, Lalin Greenville LUXE, Lanceo, ลลิล กรีนวิลล์, บ้านลลิล, บ้านบุรีรมย์, The Balcony Home และลัลลี่วิลล์ ภายใต้การบริหารของแม่ทัพใหญ่อย่าง “ไชยยันต์ ชาครกุล” ประธานกรรมการบริหาร LALIN ซึ่งจะมาฉายภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์และแผนการดำเนินงานของ LALIN ในปี 2562
บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN มุ่งมั่นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัย และความไว้วางใจจากลูกค้ามายาวนานกว่า 31 ปี ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม อาทิ แบรนด์ Lio, Lalin Greenville LUXE, Lanceo, ลลิล กรีนวิลล์, บ้านลลิล, บ้านบุรีรมย์, The Balcony Home และลัลลี่วิลล์ ภายใต้การบริหารของแม่ทัพใหญ่อย่าง “ไชยยันต์ ชาครกุล” ประธานกรรมการบริหาร LALIN ซึ่งจะมาฉายภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์และแผนการดำเนินงานของ LALIN ในปี 2562
*ส่องภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์
“ไชยยันต์” กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 สำหรับผู้ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยยังมีอัตราการเติบโตอยู่ในเกณฑ์ชะลอตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดคอนโดมิเนียมที่ลดลงค่อนข้างรุนแรง และตลาดผู้ซื้อเพื่อการลงทุนมีการชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ส่วนโครงการแนวราบในกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรกยังทรงตัว
การชะลอตัวดังกล่าวเกิดขึ้นจากการประกาศใช้มาตรการกำกับดูแลสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (LTV) ที่เริ่มบังคับใช้ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้การซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อลงทุนลดลง และผู้บริโภคบางส่วนชะลอการตัดสินใจซื้อ เพราะไม่มั่นใจว่าจะขอสินเชื่อได้หรือไม่ อีกทั้งในปี 2562 มีลูกค้าต่างชาติหายไปเยอะ โดยเฉพาะชาวจีนที่ได้รับผลกระทบเศรษฐกิจในประเทศ สงครามการค้ากับสหรัฐฯ และปัจจัยเรื่องค่าเงิน
“แม้คอนโดมิเนียมจะได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV แต่ปัจจุบันบริษัทก้าวสู่การเป็นผู้พัฒนาโครงการแนวราบ 99% แล้ว ซึ่งเป็นตลาดผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่จริง (Real Demand) ไม่ได้รับผลกระทบมาก ทำให้บริษัทมียอดขาย (Presale) ในช่วง 6 เดือนแรกอยู่ที่ระดับ 3,100 ล้านบาท หรือคิดเป็น 58-59% จากเป้าหมายยอดขายทั้งปี 2562 ที่ 5,300 ล้านบาท จากการเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,500 ล้านบาท”
ขณะที่ผลสำรวจโครงการบ้านจัดสรรล่าสุดของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบถือเป็นตลาดที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และเป็นการซื้อบ้านหลังแรกเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ความต้องการซื้อยังมีอยู่ต่อเนื่อง จึงได้รับผลกระทบจากมาตรการน้อยกว่าคอนโดมิเนียม แต่ผู้บริโภคก็จำเป็นจะต้องปรับตัวในการวางแผนการออมก่อนการซื้อที่อยู่อาศัย แต่คอนโดมิเนียมปีนี้ยอดขายน่าจะติดลบแน่นอน 20-30%
*ฝากรัฐบาลใหม่สานต่อบ้านล้านหลัง
“ไชยยันต์” กล่าวว่า อยากจะฝากสานต่อโครงการบ้านล้านหลัง เฟส 2 ที่ประชาชนมาจองสิทธิ์สินเชื่อไว้แล้ว 127,000 ล้านบาท และเตรียมปล่อยสินเชื่อในเฟสที่ 2 วงเงินอีก 100,000 ล้านบาท หลังความสำเร็จเฟสแรกของรัฐบาลเดิมที่ปล่อยกู้ไปได้ไม่กี่พันล้านบาท เทียบกับการจองสิทธิ์กว่า 100,000 ล้านบาท เป็นเพราะบ้านราคา 1 ล้านบาท ไม่มีในตลาด อยากฝากรัฐบาลชุดใหม่ทบทวนว่าเงื่อนไขบ้านราคา 1 ล้านบาท ควรมีการยืดหยุ่นด้านราคาเพิ่มขึ้นหรือไม่ เช่นเดียวกับมาตรการลดค่าโอน และค่าจดจำนองสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยในราคา 1 ล้านบาท และมาตรการลดหย่อนภาษีบ้านไม่เกิน 5 ล้านบาท รวมถึงมาตรการคุมสินเชื่อที่ทำให้ตลาดสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว หากผ่อนปรนบางเงื่อนไขได้บ้าง เพื่อให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงก็จะส่งผลทางบวกเพิ่มมากขึ้น
“ภาพรวมอสังหาฯ ชะลอตามเศรษฐกิจ แต่ปัจจัยบวกดอกเบี้ยที่จะลดลงยังพอเข้ามาเสริมได้ และอยากให้รัฐบาลเข้ามาดูเรื่อง LTV ว่าแรงไปหรือไม่ อีกอย่างควรหันมาดูแลชนชั้นกลาง ที่เป็นผู้เสียภาษีเข้ารัฐมากที่สุดให้ได้มีบ้านหลังแรก และมีการใช้จ่ายที่คล่องมากขึ้น รวมถึงชนชั้นอื่น ๆ ด้วยที่ได้รับผลพวงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง”
*ครึ่งปีหลังอสังหาฯ ยังแข่งขันรุนแรง
สำหรับการแข่งขันในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้ประกอบการต่างเร่งระบายสต๊อกที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จ และที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ ๆ ได้ปรับแผนใหม่ชะลอตัวการเปิดโครงการใหม่และระมัดระวังการลงทุนใหม่ ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นการสร้างสมดุลให้กับตลาดสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ขณะที่ทุกรายพยายามรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ไม่ให้สูงเกินไป รวมถึงรักษาสภาพคล่องทางการเงิน
ด้านปัจจัยบวกบริษัทมองว่าเป็นเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากเศรษฐกิจชะลอตัว และสหรัฐอเมริกาประกาศปรับลดดอกเบี้ยเช่นกัน ส่วนซัพพลายคอนโดมิเนียมออกสู่ตลาดน้อยลงตามการชะลอเปิดโครงการตามที่กล่าวมาข้างต้น และช่วยผ่อนคลายให้ราคาที่ดินไม่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนที่ผ่านมา
*จ่อเปิด 5 โครงการ มูลค่า 2.5 พันล้าน
“ไชยยันต์” กล่าวต่อว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของ LALIN เตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 5 โครงการ มูลค่ารวมมากกว่า 2,500 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 3/2562 จะเปิดเพิ่มอีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 1,700-1,800 ล้านบาท และอีก 2 โครงการที่เหลือจะทยอยเปิดภายในช่วงต้นไตรมาส 4/2562 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเปิดโครงการใหม่ได้ครบ 9 โครงการ
*เร่งระบายสต๊อกปิดขาย 7 โครงการ
ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือรวม 1,300 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2562 ทั้งหมด และจะมีแบ็กล็อกเข้ามาเสริมอย่างต่อเนื่อง ส่วนสินค้าเหลือขาย (สต๊อก) เหลือเพียง 10-12 ยูนิตต่อโครงการเท่านั้น โดยบริษัทมีแผนระบายสต๊อกออกให้มากที่สุด เพื่อสร้างกระแสเงินสด เชื่อว่าจะสามารถปิดการขายโครงการได้อีก 6-7 โครงการภายในปี 2562 ถือว่าเป็นบริษัทที่มีสต๊อกน้อยที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในตอนนี้
ขณะที่ บริษัทยังคงอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรก ซึ่งจากการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้บริษัทมียอดขายในปี 2562 ตามเป้าหมายที่วางไว้ 5,300 ล้านบาท และมีรายได้รวม 4,650 ล้านบาท เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปี 2561 ที่มีรายได้รวม 4,098.66 ล้านบาท
*ส่องภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์
“ไชยยันต์” กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 สำหรับผู้ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยยังมีอัตราการเติบโตอยู่ในเกณฑ์ชะลอตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดคอนโดมิเนียมที่ลดลงค่อนข้างรุนแรง และตลาดผู้ซื้อเพื่อการลงทุนมีการชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ส่วนโครงการแนวราบในกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรกยังทรงตัว
การชะลอตัวดังกล่าวเกิดขึ้นจากการประกาศใช้มาตรการกำกับดูแลสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (LTV) ที่เริ่มบังคับใช้ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้การซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อลงทุนลดลง และผู้บริโภคบางส่วนชะลอการตัดสินใจซื้อ เพราะไม่มั่นใจว่าจะขอสินเชื่อได้หรือไม่ อีกทั้งในปี 2562 มีลูกค้าต่างชาติหายไปเยอะ โดยเฉพาะชาวจีนที่ได้รับผลกระทบเศรษฐกิจในประเทศ สงครามการค้ากับสหรัฐฯ และปัจจัยเรื่องค่าเงิน
“แม้คอนโดมิเนียมจะได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV แต่ปัจจุบันบริษัทก้าวสู่การเป็นผู้พัฒนาโครงการแนวราบ 99% แล้ว ซึ่งเป็นตลาดผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่จริง (Real Demand) ไม่ได้รับผลกระทบมาก ทำให้บริษัทมียอดขาย (Presale) ในช่วง 6 เดือนแรกอยู่ที่ระดับ 3,100 ล้านบาท หรือคิดเป็น 58-59% จากเป้าหมายยอดขายทั้งปี 2562 ที่ 5,300 ล้านบาท จากการเปิดโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,500 ล้านบาท”
ขณะที่ผลสำรวจโครงการบ้านจัดสรรล่าสุดของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบถือเป็นตลาดที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และเป็นการซื้อบ้านหลังแรกเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ความต้องการซื้อยังมีอยู่ต่อเนื่อง จึงได้รับผลกระทบจากมาตรการน้อยกว่าคอนโดมิเนียม แต่ผู้บริโภคก็จำเป็นจะต้องปรับตัวในการวางแผนการออมก่อนการซื้อที่อยู่อาศัย แต่คอนโดมิเนียมปีนี้ยอดขายน่าจะติดลบแน่นอน 20-30%
*ฝากรัฐบาลใหม่สานต่อบ้านล้านหลัง
“ไชยยันต์” กล่าวว่า อยากจะฝากสานต่อโครงการบ้านล้านหลัง เฟส 2 ที่ประชาชนมาจองสิทธิ์สินเชื่อไว้แล้ว 127,000 ล้านบาท และเตรียมปล่อยสินเชื่อในเฟสที่ 2 วงเงินอีก 100,000 ล้านบาท หลังความสำเร็จเฟสแรกของรัฐบาลเดิมที่ปล่อยกู้ไปได้ไม่กี่พันล้านบาท เทียบกับการจองสิทธิ์กว่า 100,000 ล้านบาท เป็นเพราะบ้านราคา 1 ล้านบาท ไม่มีในตลาด อยากฝากรัฐบาลชุดใหม่ทบทวนว่าเงื่อนไขบ้านราคา 1 ล้านบาท ควรมีการยืดหยุ่นด้านราคาเพิ่มขึ้นหรือไม่ เช่นเดียวกับมาตรการลดค่าโอน และค่าจดจำนองสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยในราคา 1 ล้านบาท และมาตรการลดหย่อนภาษีบ้านไม่เกิน 5 ล้านบาท รวมถึงมาตรการคุมสินเชื่อที่ทำให้ตลาดสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว หากผ่อนปรนบางเงื่อนไขได้บ้าง เพื่อให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงก็จะส่งผลทางบวกเพิ่มมากขึ้น
“ภาพรวมอสังหาฯ ชะลอตามเศรษฐกิจ แต่ปัจจัยบวกดอกเบี้ยที่จะลดลงยังพอเข้ามาเสริมได้ และอยากให้รัฐบาลเข้ามาดูเรื่อง LTV ว่าแรงไปหรือไม่ อีกอย่างควรหันมาดูแลชนชั้นกลาง ที่เป็นผู้เสียภาษีเข้ารัฐมากที่สุดให้ได้มีบ้านหลังแรก และมีการใช้จ่ายที่คล่องมากขึ้น รวมถึงชนชั้นอื่น ๆ ด้วยที่ได้รับผลพวงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง”
*ครึ่งปีหลังอสังหาฯ ยังแข่งขันรุนแรง
สำหรับการแข่งขันในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้ประกอบการต่างเร่งระบายสต๊อกที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จ และที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ ๆ ได้ปรับแผนใหม่ชะลอตัวการเปิดโครงการใหม่และระมัดระวังการลงทุนใหม่ ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นการสร้างสมดุลให้กับตลาดสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ขณะที่ทุกรายพยายามรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ไม่ให้สูงเกินไป รวมถึงรักษาสภาพคล่องทางการเงิน
ด้านปัจจัยบวกบริษัทมองว่าเป็นเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากเศรษฐกิจชะลอตัว และสหรัฐอเมริกาประกาศปรับลดดอกเบี้ยเช่นกัน ส่วนซัพพลายคอนโดมิเนียมออกสู่ตลาดน้อยลงตามการชะลอเปิดโครงการตามที่กล่าวมาข้างต้น และช่วยผ่อนคลายให้ราคาที่ดินไม่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนที่ผ่านมา
*จ่อเปิด 5 โครงการ มูลค่า 2.5 พันล้าน
“ไชยยันต์” กล่าวต่อว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของ LALIN เตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 5 โครงการ มูลค่ารวมมากกว่า 2,500 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 3/2562 จะเปิดเพิ่มอีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 1,700-1,800 ล้านบาท และอีก 2 โครงการที่เหลือจะทยอยเปิดภายในช่วงต้นไตรมาส 4/2562 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเปิดโครงการใหม่ได้ครบ 9 โครงการ
*เร่งระบายสต๊อกปิดขาย 7 โครงการ
ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือรวม 1,300 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2562 ทั้งหมด และจะมีแบ็กล็อกเข้ามาเสริมอย่างต่อเนื่อง ส่วนสินค้าเหลือขาย (สต๊อก) เหลือเพียง 10-12 ยูนิตต่อโครงการเท่านั้น โดยบริษัทมีแผนระบายสต๊อกออกให้มากที่สุด เพื่อสร้างกระแสเงินสด เชื่อว่าจะสามารถปิดการขายโครงการได้อีก 6-7 โครงการภายในปี 2562 ถือว่าเป็นบริษัทที่มีสต๊อกน้อยที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในตอนนี้
ขณะที่ บริษัทยังคงอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรก ซึ่งจากการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้บริษัทมียอดขายในปี 2562 ตามเป้าหมายที่วางไว้ 5,300 ล้านบาท และมีรายได้รวม 4,650 ล้านบาท เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปี 2561 ที่มีรายได้รวม 4,098.66 ล้านบาท
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ