นวณัฐ สุขะมงคล

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มารวย เรียลเอสเตท จำกัด

ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภาคตะวันออกเริ่มมีการขยายตัวขึ้น หลังจากรัฐบาลให้ความชัดเจนในเรื่องของโครงการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี ทำให้ ภาพรวมธุรกิจในพื้นที่เติบโตอย่างเห็นได้ ชัด อย่างไรก็ตามปัจจัยสำคัญของอีอีซี คือ เรื่องการพัฒนา "คมนาคม" เชื่อมโยงในและนอกพื้นที่อีอีซี ในฐานะที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา และในฐานะนักลงทุนมองว่าการพัฒนาเส้นทางคมนาคมใน จ.ฉะเชิงเทรา ถือเป็นกลไก สำคัญในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาค ตะวันออก เพราะเป็นจังหวัดหลักที่เชื่อมต่อกรุงเทพมหานครและหลายจังหวัดในภาคตะวันออก

ทั้งนี้ ข้อมูลจากหอการค้าจังหวัดฉะเชิงเทรา ระบุว่า โครงการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกใน จ.ฉะเชิงเทรา ปี 2560-2562 มีรวมทั้งสิ้น 31 โครงการ แบ่งเป็น ค่าก่อสร้าง 13,377 ล้านบาท การสำรวจและออกแบบ 234 ล้านบาท ค่าควบคุมงาน 234 ล้านบาท ค่าเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ 3,579 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม 20 ล้านบาท รวมเป็น 17,444 ล้านบาท ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวคาดว่าเกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 3 ด้าน ในระยะเวลา 20 ปี

สำหรับงบพัฒนา จ.ฉะเชิงเทรา เน้นการสร้างเส้นทางคมนาคมเพื่อประโยชน์ในการเชื่อมต่อพื้นที่หลายจังหวัดภาคตะวันออก โดยเฉพาะการเดินทางจาก จ.ฉะเชิงเทรา ไปยังกรุงเทพมหานคร ชลบุรี ระยอง และสระแก้ว เป็นต้น การพัฒนาเส้นทางคมนาคม หรือโลจิสติกส์ จึงเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเมืองใหม่และส่งผลต่อภาคอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรม ซึ่งหลักสำคัญของอีอีซีคือการกระจายตัวของประชากรให้ออกจากพื้นที่เมืองที่แออัด

ขณะที่เมกะโปรเจกต์ที่จะลงทุนในเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกจะส่งผลให้การเติบโตไปเร็วมาก โดยในเดือน ส.ค.นี้ จะมีการเปิดตัวอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ของสนามบินอู่ตะเภา สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 3 ล้านคน และผลักดันให้เป็นศูนย์กลางการบินภาคตะวันออกในพื้นที่ 6,500 ไร่ สิ่งที่สอดคล้องกัน คือ โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯระยอง ระยะทาง 193 กิโลเมตร ซึ่งมีศูนย์ซ่อมบำรุงอยู่ใน จ.ฉะเชิงเทรา ปัจจัยสำคัญเหล่านี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจภาคตะวันออก โดยเฉพาะใน จ.ฉะเชิงเทรา ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

ดังนั้น ภาพรวมการพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี หลังภาครัฐเร่งผลักดันเมกะโปรเจกต์ ส่งผลให้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ภาคตะวันออกมีการเติบโตเป็นเท่าตัว ตัวเลขทะลุ 5% และจะเติบโตต่อเนื่องระยะยาวไปอีกประมาณ 5 ปี

ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์