สถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดภาคใต้
Loading

สถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยจังหวัดภาคใต้

วันที่ : 21 มีนาคม 2567
การสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคใต้ 4 จังหวัด ครึ่งหลังปี 2566 พบว่า จำนวนอุปทานพร้อมขายจำนวนประมาณ 23,026 หน่วย มูลค่า 134,016 ล้านบาท
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานสถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังอยู่ระหว่างขายในช่วงครึ่งหลังปี 2566 ของจังหวัดภาคใต้ 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช พบว่า จำนวนหน่วยเหลือขายในช่วงครึ่งหลังปี 2566 เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.1 และมีผลให้อัตราดูดซับของภาพรวมตลาดอยู่ที่ร้อยละ 4.6 ทั้งนี้ REIC คาดการณ์ว่า ปี 2567 จะมีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 10,586 หน่วย มูลค่า 69,253 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 9,187 หน่วย มูลค่า 47,865 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 18,092 หน่วย มูลค่า 107,906 ล้านบาท

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า การสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคใต้ 4 จังหวัด ครึ่งหลังปี 2566 พบว่า จำนวนอุปทานพร้อมขายจำนวนประมาณ 23,026 หน่วย มูลค่า 134,016 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นโครงการอาคารชุด 11,136 หน่วย มูลค่า 79,648 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านจัดสรร 11,890 หน่วย มูลค่า 54,368 ล้านบาท มีโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด 7,086 หน่วย มูลค่า 56,155 ล้านบาท มีโครงการขายได้ใหม่จำนวน 6,332 หน่วย มูลค่า 36,004 ล้านบาท ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 16,694 หน่วย มูลค่า 98,012 ล้านบาท

“เมื่อเปรียบเทียบระหว่างตลาดที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขายของ 4 จังหวัดนี้ พบว่า จังหวัดภูเก็ต และ สงขลา เป็นจังหวัดที่มีขนาดตลาดเป็นลำดับ 1 และ 2 ในทุกด้าน ดังจะเห็นได้จากจำนวนและสัดส่วนที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่มีการเสนอขายโดยจังหวัดภูเก็ตมีการเสนอขายถึง 12,869 หน่วย มูลค่า 91,519 ล้านบาท และ จังหวัดสงขลามีจำนวนหน่วย 5,156 หน่วย มูลค่า 21,107 ล้านบาท ของหน่วยที่เสนอขายทั้งหมด ตามลำดับ แต่จังหวัดภูเก็ตมีการเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุด โดยมีการเปิดตัวทั้งบ้านจัดสรรและอาคารชุดรวม 5,913 หน่วย มูลค่า 48,554 ล้านบาท ของหน่วยที่เปิดขายใหม่มากกว่าจังหวัดอื่น ทั้งนี้เป็นหน่วยบ้านจัดสรร 342 หน่วย มูลค่า 1,780 ล้านบาท และอาคารชุด 5,571 หน่วย มูลค่า 46,774 ล้านบาท

สำหรับจังหวัดภูเก็ตมีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่รวมสูงสุด 4,364 หน่วย มูลค่า 28,336 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับที่ร้อยละ 5.7 ต่อเดือน รองลงมาเป็นจังหวัดสงขลา 1,018 หน่วย มูลค่า 3,755 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับที่ร้อยละ 3.3 ต่อเดือน ส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ขายได้ใหม่รวม 652 หน่วย มูลค่า 2,723 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับที่ร้อยละ 3.2 ต่อเดือน และ นครศรีธรรมราช ขายได้ใหม่รวม 298 หน่วย มูลค่า 1,189 ล้านบาท โดยมีอัตราการดูดซับที่ร้อยละ 3.2 ต่อเดือน

อุปทานโดยรวมของภาคใต้ 4 จังหวัด ในช่วงครึ่งหลังปี 2566 ที่อยู่อาศัยเสนอขายทั้งหมด จำนวน 23,026 หน่วย มูลค่า 134,016 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ร้อยละ 38.7 และมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 83.0 ตามลำดับ โดยเป็นโครงการใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนเพียง 7,086 หน่วย มูลค่า 56,155 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ร้อยละ 269.3 และร้อยละ 571.6 ตามลำดับ ขณะที่ที่อยู่อาศัยเหลือขาย ณ ครึ่งหลังปี 2566 จำนวน 16,694 หน่วย มูลค่า 98,012 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.1 และมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 61.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)

โดย 5 ทำเล ที่มีจำนวนหน่วยเหลือขายมากที่สุดใน 4 จังหวัดภาคใต้ คือ อันดับ 1 ทำเลหาดบางเทา-หาดสุรินทร์ จำนวน 2,567 หน่วย มูลค่า 27,999 ล้านบาท อันดับ 2 ทำเลเทพกระษัตรี-ศรีสุนทร จำนวน 1,560 หน่วย มูลค่า 9,633 ล้านบาท อันดับ 3 ทำเลประดู่-บางชุมโถ จำนวน 952 หน่วย มูลค่า 3,487 ล้านบาท อันดับ 4 ทำเลท่าข้าม-ควนหิน จำนวน 911 หน่วย มูลค่า 3,919 ล้านบาท อันดับ 5 ทำเลเกาะแก้ว-รัษฎา จำนวน 813 หน่วย มูลค่า 6,583 ล้านบาท โดยระดับราคาที่มีหน่วยเหลือขายมากที่สุดคือ 3.01-5.00 ล้านบาท มีจำนวนถึง 5,338 หน่วย มูลค่า 22,627 ล้านบาท

อุปสงค์โดยรวมของภาคใต้ 4 จังหวัด พบว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2566 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 6,332 หน่วย มูลค่า 36,004 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 2,150 หน่วย มูลค่า 9,585 ล้านบาท และอาคารชุด 4,182 หน่วย มูลค่า 26,418 ล้านบาท ซึ่งทำเลที่มีหน่วยขายได้สูงสุด 5 อันดับแรกคือ อันดับ 1 หาดบางเทา-หาดสุรินทร์ จำนวน 1,544 หน่วย มูลค่า 14,843 ล้านบาท อันดับ 2 เทพกระษัตรี-ศรีสุนทร จำนวน 608 หน่วย มูลค่า 3,238 ล้านบาท อันดับ 3 ตลาดใหญ่-ตลาดเหนือ จำนวน 573 หน่วย มูลค่า 1,625 ล้านบาท อันดับ 4 ในเมืองกระทู้ จำนวน 506 หน่วย มูลค่า 1,404 ล้านบาท และอันดับ 5 หาดกมลา จำนวน 207 หน่วย มูลค่า 1,088 ล้านบาท ...
สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่