REIC เผยธุรกิจโรงแรมครึ่งแรกปีนี้อุปสงค์ชะลอเหตุนักท่องเที่ยวลด
วันที่ : 16 ตุลาคม 2568
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เผยสถานการณ์ธุรกิจโรงแรมครึ่งแรกปีนี้ อุปสงค์ธุรกิจโรงแรมชะลอตัวลง เหตุนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยลดลง 4.7% แต่อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 60.8% สะท้อนความต้องการใช้บริการที่พักยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนอุปทานชะลอตัว เพราะจำนวนโรงแรมที่ยื่นขออนุญาตเปิดใหม่ 34.6% และจำนวนห้องพักใหม่ลดลง 32.2%
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดทำบทวิเคราะห์ เรื่อง “สถานการณ์ธุรกิจโรงแรม ครึ่งแรกปี 2568” พบว่า ภาพรวมด้านอุปสงค์ของธุรกิจโรงแรมชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยเป็นผลมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยลดลง 4.7% แต่อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมทั่วประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 60.8% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 59.1% สะท้อนความต้องการใช้บริการที่พักยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ด้านอุปทาน พบว่ามีการชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยจำนวนโรงแรมที่ยื่นขออนุญาตเปิดใหม่ รวมถึงจำนวนห้องพักใหม่ลดลง 34.6% และลดลง 32.2% ตามลำดับ ส่งผลให้จำนวนโรงแรมที่จดทะเบียนประกอบธุรกิจสะสมทั่วประเทศลดลง 3.7% และจำนวนห้องพักสะสมลดลง 1.8%
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอุปทานในอนาคตมีสัญญาณการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างโรงแรมปรับตัวเพิ่มขึ้น 29.6% โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ–ปริมณฑลที่มีการขออนุญาตก่อสร้างเพิ่มขึ้นมากถึง 230.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในเขตกรุงเทพฯ–ปริมณฑล เป็นศูนย์กลางธุรกิจและการท่องเที่ยวมีความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง
โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. สถานการณ์ด้านอุปทาน (Supply) ประกอบด้วย 1) โรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ทั่วประเทศครึ่งแรกปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน) มีโรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ทั่วประเทศ จำนวน 232 แห่ง และมีจำนวนห้องพัก 8,946 ห้อง โดยลดลงทั้งจำนวนโรงแรมและจำนวนห้องพักลดลง 34.6% และลดลง 32.2% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวนโรงแรม 355 แห่ง และมีห้องพัก 13,190 ห้อง โดยกรุงเทพฯ–ปริมณฑลมีจำนวนห้องพักที่ขออนุญาตมากที่สุด 3,012 ห้อง คิดเป็นสัดส่วน 33.7% ของห้องพักทั้งหมด ส่งผลให้ในภาพรวมจำนวนโรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ลดลงเกือบทุกภาค ยกเว้นในภาคตะวันตกที่มีจำนวนเท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนจำนวนห้องพักที่ขออนุญาตใหม่ มีจำนวนลดลงเกือบทุกภาค ยกเว้นกรุงเทพฯ–ปริมณฑลที่เพิ่มขึ้น 16.4% แสดงให้เห็นว่า ในช่วงครึ่งแรกปี 2568 ผู้ประกอบการยังคงชะลอการเปิดโครงการใหม่ โดยเฉพาะในภาคใต้และภาคกลางซึ่งมีจำนวนโรงแรมและห้องพักที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ลดลงอย่างชัดเจนมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่จังหวัดที่มีจำนวนห้องพักในโรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่มากที่สุด 10 อันดับแรก ในช่วงครึ่งแรกปี 2568 มีสัดส่วนรวมกันถึง 75% ของจำนวนห้องพักในโรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ระยอง เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ สมุทรปราการ นครราชสีมา ขอนแก่น และประจวบคีรีขันธ์ ตามลำดับ โดยในจำนวนนี้ สมุทรปราการเพิ่มขึ้นมากที่สุด 366.7% รองลงมา คือ ประจวบคีรีขันธ์ ขอนแก่น และกรุงเทพมหานคร มีจำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ชลบุรีลดลงมากที่สุด 63% รองลงมา คือ ภูเก็ต กระบี่ นครราชสีมา ระยอง และเชียงใหม่ มีจำนวนห้องพักลดลงตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนในจังหวัดอื่น ๆ ลดลง 50.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
2) โรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจสะสมทั่วประเทศ โรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจสะสมทั่วประเทศ (ไม่นับรวม เกสต์เฮ้าส์ รีสอร์ต หรือโรงแรมที่ไม่ขึ้นทะเบียนกับกรมการปกครอง และที่ใบอนุญาตหมดอายุ) ณ ครึ่งแรกปี 2568 มีจำนวน 16,369 แห่ง และมีจำนวนห้องพักที่เปิดให้บริการ 703,751 ห้อง ลดลงทั้งจำนวนโรงแรมและจำนวนห้องพัก 3.7% และ 1.8% ตามลำดับ เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีจำนวน 17,006 แห่ง และมีห้องพักที่เปิดให้บริการ 716,311 ห้อง
โดยเมื่อพิจารณาจากจำนวนห้องพักที่เปิดให้บริการสะสม ครึ่งแรกปี 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แยกตามรายภาค พบว่า กรุงเทพฯ–ปริมณฑล มีจำนวนห้องพักสะสมมากที่สุด 179,872 ห้อง เพิ่มขึ้น 2.6% คิดเป็นสัดส่วน 25.6% รองลงมาได้แก่ภาคใต้ มีจำนวนห้องพัก 167,388 ห้อง ลดลง 3.4% คิดเป็นสัดส่วน 23.8% และภาคตะวันออกมีจำนวนห้องพัก 108,560 ห้อง ลดลง 7.9% คิดเป็นสัดส่วน 15.4% ของห้องพักทั้งหมด
ทั้งนี้ หากพิจารณาจำนวนห้องพักในโรงแรมที่เปิดให้บริการสะสม แยกตามจังหวัด พบว่า 10 อันดับจังหวัดแรก
ที่มีห้องพักมากที่สุด ณ ครึ่งแรกปี 2568 มีสัดส่วนจำนวนห้องพักรวมกัน 60.5% ของจำนวนห้องพักทั้งหมด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี กระบี่ สงขลา นครราชสีมา ระยอง และเชียงราย ใน 10 อันดับนี้ พบว่า ระยองมีจำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5.9% ขณะที่จังหวัดที่มีห้องพักลดลงมากที่สุด คือ กระบี่ ลดลง 9.9% ส่วนจังหวัดอื่น ๆ มีจำนวนลดลง 2.6% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
ด้านอุปทาน พบว่ามีการชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยจำนวนโรงแรมที่ยื่นขออนุญาตเปิดใหม่ รวมถึงจำนวนห้องพักใหม่ลดลง 34.6% และลดลง 32.2% ตามลำดับ ส่งผลให้จำนวนโรงแรมที่จดทะเบียนประกอบธุรกิจสะสมทั่วประเทศลดลง 3.7% และจำนวนห้องพักสะสมลดลง 1.8%
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอุปทานในอนาคตมีสัญญาณการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างโรงแรมปรับตัวเพิ่มขึ้น 29.6% โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ–ปริมณฑลที่มีการขออนุญาตก่อสร้างเพิ่มขึ้นมากถึง 230.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในเขตกรุงเทพฯ–ปริมณฑล เป็นศูนย์กลางธุรกิจและการท่องเที่ยวมีความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง
โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. สถานการณ์ด้านอุปทาน (Supply) ประกอบด้วย 1) โรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ทั่วประเทศครึ่งแรกปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน) มีโรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ทั่วประเทศ จำนวน 232 แห่ง และมีจำนวนห้องพัก 8,946 ห้อง โดยลดลงทั้งจำนวนโรงแรมและจำนวนห้องพักลดลง 34.6% และลดลง 32.2% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวนโรงแรม 355 แห่ง และมีห้องพัก 13,190 ห้อง โดยกรุงเทพฯ–ปริมณฑลมีจำนวนห้องพักที่ขออนุญาตมากที่สุด 3,012 ห้อง คิดเป็นสัดส่วน 33.7% ของห้องพักทั้งหมด ส่งผลให้ในภาพรวมจำนวนโรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ลดลงเกือบทุกภาค ยกเว้นในภาคตะวันตกที่มีจำนวนเท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนจำนวนห้องพักที่ขออนุญาตใหม่ มีจำนวนลดลงเกือบทุกภาค ยกเว้นกรุงเทพฯ–ปริมณฑลที่เพิ่มขึ้น 16.4% แสดงให้เห็นว่า ในช่วงครึ่งแรกปี 2568 ผู้ประกอบการยังคงชะลอการเปิดโครงการใหม่ โดยเฉพาะในภาคใต้และภาคกลางซึ่งมีจำนวนโรงแรมและห้องพักที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ลดลงอย่างชัดเจนมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่จังหวัดที่มีจำนวนห้องพักในโรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่มากที่สุด 10 อันดับแรก ในช่วงครึ่งแรกปี 2568 มีสัดส่วนรวมกันถึง 75% ของจำนวนห้องพักในโรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจใหม่ทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ระยอง เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ สมุทรปราการ นครราชสีมา ขอนแก่น และประจวบคีรีขันธ์ ตามลำดับ โดยในจำนวนนี้ สมุทรปราการเพิ่มขึ้นมากที่สุด 366.7% รองลงมา คือ ประจวบคีรีขันธ์ ขอนแก่น และกรุงเทพมหานคร มีจำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ชลบุรีลดลงมากที่สุด 63% รองลงมา คือ ภูเก็ต กระบี่ นครราชสีมา ระยอง และเชียงใหม่ มีจำนวนห้องพักลดลงตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนในจังหวัดอื่น ๆ ลดลง 50.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
2) โรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจสะสมทั่วประเทศ โรงแรมที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจสะสมทั่วประเทศ (ไม่นับรวม เกสต์เฮ้าส์ รีสอร์ต หรือโรงแรมที่ไม่ขึ้นทะเบียนกับกรมการปกครอง และที่ใบอนุญาตหมดอายุ) ณ ครึ่งแรกปี 2568 มีจำนวน 16,369 แห่ง และมีจำนวนห้องพักที่เปิดให้บริการ 703,751 ห้อง ลดลงทั้งจำนวนโรงแรมและจำนวนห้องพัก 3.7% และ 1.8% ตามลำดับ เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีจำนวน 17,006 แห่ง และมีห้องพักที่เปิดให้บริการ 716,311 ห้อง
โดยเมื่อพิจารณาจากจำนวนห้องพักที่เปิดให้บริการสะสม ครึ่งแรกปี 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แยกตามรายภาค พบว่า กรุงเทพฯ–ปริมณฑล มีจำนวนห้องพักสะสมมากที่สุด 179,872 ห้อง เพิ่มขึ้น 2.6% คิดเป็นสัดส่วน 25.6% รองลงมาได้แก่ภาคใต้ มีจำนวนห้องพัก 167,388 ห้อง ลดลง 3.4% คิดเป็นสัดส่วน 23.8% และภาคตะวันออกมีจำนวนห้องพัก 108,560 ห้อง ลดลง 7.9% คิดเป็นสัดส่วน 15.4% ของห้องพักทั้งหมด
ทั้งนี้ หากพิจารณาจำนวนห้องพักในโรงแรมที่เปิดให้บริการสะสม แยกตามจังหวัด พบว่า 10 อันดับจังหวัดแรก
ที่มีห้องพักมากที่สุด ณ ครึ่งแรกปี 2568 มีสัดส่วนจำนวนห้องพักรวมกัน 60.5% ของจำนวนห้องพักทั้งหมด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี กระบี่ สงขลา นครราชสีมา ระยอง และเชียงราย ใน 10 อันดับนี้ พบว่า ระยองมีจำนวนห้องพักเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5.9% ขณะที่จังหวัดที่มีห้องพักลดลงมากที่สุด คือ กระบี่ ลดลง 9.9% ส่วนจังหวัดอื่น ๆ มีจำนวนลดลง 2.6% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ