ผู้บริโภคกำลังซื้อหด-แบงก์เข้มปล่อยกู้ จับตาค่าบาทแข็งฉุดอสังหาฯ
Loading

ผู้บริโภคกำลังซื้อหด-แบงก์เข้มปล่อยกู้ จับตาค่าบาทแข็งฉุดอสังหาฯ

วันที่ : 15 กันยายน 2568
คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ระบุว่า ตลาดที่อยู่อาศัยอาจจะยังไม่ดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพราะกำลังซื้อคนไทยที่ลดลงต่อเนื่องทั้งจากการไม่อยากสร้างภาระหนี้สินของตนเอง และจากการที่ไม่สามารถขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ เนื่องจากปัญหาเรื่องของหนี้ครัวเรือนหรือหนี้สินอื่นๆ ที่เป็นภาระมาก่อนหน้านี้ส่งผลโดยตรงต่อการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยของคนไทย
   ทรุดยาวตลอดปี68 คาดลากยาวถึงปี69

   อสังหาริมทรัพย์

   ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ.2568 อาจจะไม่ดีนัก โดยการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ณ ไตรมาสที่ 1 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.1 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 3.3 ในไตรมาส 4 พ.ศ. 2567 โดยมีแรงสนับสนุนมาจากการเร่งส่งออกสินค้าไปสหรัฐอเมริกาที่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอัตราภาษีจะจบที่เท่าไหร่ และช่วงเวลานั้นมีข่าวว่าอัตราภาษีสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกาจะมากกว่าที่ผ่านมา

   สำหรับแรงขับเคลื่อนในประเทศค่อนข้างต่ำ เพราะการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวต่อ เนื่องจากปีพ.ศ.2567 รวมไปถึงการใช้จ่ายเงินของคนไทยด้วยที่ลดลงเพราะไม่อยากใช้เงินมากเกินไปในช่วงที่ยังไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจของประเทศ แต่ยังดีที่โครงการของรัฐบาลต่างๆ ยังเดินหน้าต่อเนื่อง ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวแม้ว่าจะค่อนข้างชะลอตัวโดยเฉพาะในส่วนของนัก ท่องเที่ยวจีน แต่ว่านักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้นทั้ง จากเอเชีย และยุโรป จำนวนของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าประเทศไทยถึงวันที่ 7 กันยายนมีจำนวน 22,387,817 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วประมาณ 7.11 % แม้ว่านักท่องเที่ยวจากประเทศจีนจะลดลงไปประมาณ 35% ก็ตาม

   โดยการเข้ามาของชาวต่างชาติจำนวนเท่านี้สร้างรายได้ จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศไทยแล้วประมาณ 1,037,239 ล้านบาทอาจจะยังไม่ได้ตามเป้าแต่ก็ดีกว่าในช่วงที่คนจีนมาประเทศไทยลดลง แต่อย่างไรก็ตาม คนจีน ยังเข้ามาประเทศไทยมากเป็นอันดับที่ 1 ด้วยจำนวนรวม 3,163,562 คน และมีมาเลเซียตามมาเป็นอันดับที่ 2 ด้วย จำนวน 3,135,600 คน

   นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัย และที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย ระบุว่าภาวะเศรษฐกิจ ของประเทศไทย ณ สิ้นปี พ.ศ. 2568 อาจยังไม่แตกต่างจากต้นปีและดูเหมือนจะแย่ลงด้วยซ้ำจากปัจจัยลบต่างๆ ทั้งในเรื่องของการเมืองตั้งแต่ที่นายกรัฐมนตรีต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ความขัดแย้งกับกัมพูชาที่มีผลต่อการส่งออกสินค้าไปประเทศกัมพูชาโดยตรง รวมไปถึงการท่องเที่ยวในภาพรวมที่อาจจะมีชาวต่างชาติบางส่วนไม่มาประเทศไทยเพราะเกรงเรื่องของการสู้รบที่ชายแดน รวมไปถึงการที่คนไทยไม่มีความเชื่อมั่นในรัฐบาลส่งผลให้การใช้จ่ายเงินลดลง ประกอบกับภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวอาจ จะต้องรอดูต่อเนื่องถึงช่วงสิ้นปี แต่เป็นไปได้ที่จำนวนของนัก ท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะยังไม่กลับไปเทียบเท่าช่วงปี พ.ศ. 2562 ที่เกือบ 40 ล้านคน

   ดังนั้น ปัจจัยลบต่างๆ ที่กดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจนั้นคงมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและส่งผลใ GDP รวมทั้งปีอาจจะอยู่ที่ประมาณ 1.8% เท่านั้น แม้ว่าเรื่องของอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกาจะลดลงมาเหลือเพียง 19% จากที่เคยประกาศมาก่อนหน้านี้ที่ 36% ก็ตาม แต่ปัจจัยลบหลายอย่างยังมีอยู่และมีแนวโน้มที่ อาจจะมากขึ้น ยกเว้นสถนการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ไม่มีการสู้รบทางทหารแล้ว แต่ยังมีการเผชิญหน้าของทั้งประชาชนและทหารอยู่บ่อยครั้ง

   ปัญหาใหญ่ที่มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ คือ เรื่องของหนี้ครัวเรือนของคนไทยที่สูงมากโดยอยู่ที่ประมาณ 87.4% ของ GDP ในไตรมาสแรกปีพ.ศ.2568 อาจจะยังสูงแต่เป็น การลดลงมาต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 แล้ว ซึ่งการที่อัตราของหนี้ครัวเรือนของคนไทยยังสูงขนาดนี้กดดันเรื่องของรายจ่าย และมีผลให้คนไทยที่เป็นหนี้อยู่แล้วอาจจะไม่อยากใช้เงิน โดยเฉพาะเรื่องของการซื้อสินค้าขนาดใหญ่ที่รวมไปถึงรถยนต์และที่อยู่อาศัยด้วย

   แม้ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยลงมาอีก 0.25% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งที่ 3 ในปีนี้แล้ว ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5% รวมไปถึงรัฐบาลยังกระตุ้นกำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยด้วยการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง และการยกเว้นมาตรการ LTV เป็นการชั่วคราวก็ตาม ก็ยังไม่สามารถกระตุ้นกำลังซื้อได้มากแบบที่คาดการณ์แต่คงต้องดูถึงสิ้นปี 2568 ในเรื่องนี้

   ตลาดที่อยู่อาศัยอาจจะยังไม่ดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพราะกำลังซื้อคนไทยที่ลดลงต่อเนื่องทั้งจากการไม่อยากสร้างภาระหนี้สินของตนเอง และจากการที่ไม่สามารถขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ เนื่องจากปัญหาเรื่องของหนี้ครัวเรือนหรือหนี้สินอื่นๆ ที่เป็นภาระมาก่อนหน้านี้ส่งผลโดยตรงต่อการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยของคนไทย เครื่องจักรสำคัญที่เกี่ยวข้องการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างตลาดที่อยู่อาศัยชะลอตัวแบบนี้

   ประกอบกับการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวตามการลดลงของคนจีน และความผันผวนในเรื่องของการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศที่อาจจะยังมีปัญหาในบางภูมิภาคหรือบางสินค้าที่โดนประเทศเพื่อนบ้านแย่งตลาดสำคัญไปก่อนหน้านี้ เรื่องต่างๆ เหล่านี้กดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจแน่นอน และมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจใช้เงินของคนไทยเมื่อมีการเผยแพร่ออกมาเป็นข่าวสารว่าเศรษฐกิจไม่ดี การจ้างงานที่ลดลง หรือความไม่มั่นคงของมนุษย์เงินเดือน การปิดโรงงานหรือกิจการด้วยเหตุผลต่างๆ ดังนั้น ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงที่เหลือของปีคงไม่ดีขึ้นกว่าช่วงต้นปีมากนัก ต้องอาศัยการกระตุ้นของผู้ประกอบการด้วยที่อาจจะออกมาตรการทางการตลาดต่างๆ ทั้งการลดราคา หรือโปรโมชันต่างๆ

   ปัจจัยลบอีกอย่างที่อาจจะดูเหมือนจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แปลกประหลาด เพราะปีพ.ศ.2568 เป็นปีที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ดี การขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงชัดเจน รวมไปถึงการลดลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ที่มีการปรับลดลงมา 3 ครั้งจนเหลือ 1.5% การชะลอการลงทุนจากต่างชาติเพื่อรอดูความชัดเจนของอัตราภาษีของสหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลความไม่ต่อเนื่องของนโยบายรัฐบาล และความขัดแย้งกับกัมพูชา เรื่องต่างๆ เหล่านี้เป็นปัจจัยลบที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ แต่ค่าเงินบาทกลับแข็งค่าขึ้นทั้งๆ ที่ควรจะลดลงหรืออ่อนค่ากว่าปัจจุบัน โดยตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2568 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วประมาณ 7% จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 34.3667 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันที่ 2 มกราคม ลดลงมาเหลือ 31.807 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการแข็งของค่าเงินบาทอาจจะมาจากการที่ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาอ่อนค่าลงด้วยเมื่อเทียบกับเงินสกุลต่างชาติอื่นๆ ที่เศรษฐกิจมีการขยายตัวค่อนข้างดี เช่น หยวน ปอนด์อังกฤษ และยูโร เป็นต้น

   การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้นมีผลกระทบโดยตรงต่อคนที่ทำธุรกิจส่งออก คนทำงานต่างประเทศ คนที่ทำงานในธุรกิจการท่องเที่ยว เพราะรับเงินจากต่างประเทศหรือนำเงินที่ได้จากชาวต่างชาติแล้วนำมาแลกเป็นเงินบาทได้ลดลงโดยเฉพาะถ้ารับเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแน่นอนว่าการแข็งค่าของเงินบาทสร้างผลกระทบให้กับกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องแน่นอน แต่การแข็งค่าของเงินบาทก็มีผลดีเช่นกัน เพราะผู่ที่นำเข้า นักลงทุนที่ต้องการซื้อเครื่องจักร อุปกรณ์หรือวัตถุดิบจากต่างประเทศ ผู้ที่มีหนี้สินเป็นเงินตราต่างประเทศ รวมไปถึงคนทั่วไปที่อาจจะซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศที่ต้องจ่ายเงินเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา คนกลุ่มนี้ได้ประโยชน์ค่อนข้างมากจากการแข็งค่าของเงินบาท แต่ประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาเงินจากต่างประเทศทั้งจากการท่องเที่ยว ส่งออก และการเข้ามาลงทุนจากต่างประเทศ การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐอเมริกาอาจจะไม่ดีนัก และอาจทำให้การเข้ามาของเงินทุนต่างประเทศลดลงเล็กน้อยหรือรอดูท่าทีก่อน

   การมีรัฐบาลใหม่ในช่วงที่ประเทศต้องการการขับเคลื่อนจากทั้งภายในประเทศและต่างประเทศแบบนี้ แน่นอนว่าต้องดูเรื่องของนโยบายรวมไปถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและทิศทางของรัฐบาลต่อไป เนื่องจากหลายๆ อย่างคงไม่เหมือนเดิม หรือไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกับรัฐบาลก่อนหน้านี้ การแก้ไขเรื่องของค่าเงินบาท ก็ต้องเป็นการดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ต้องเข้าไปแทรกแซงรัฐบาลคงไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ซึ่งประเทศไทยอย่างไรก็ตามยังคงเหมาะกับค่าเงินบาทที่ไม่แข็งค่าเกินไป อาจจะอยู่ในช่วงเดียวกับตอนต้นปีมากกว่าตอนนี้ อาจจะต้องดูเรื่องของการเข้ามาของเงินทุนต่างประเทศที่อาจจะมีการไหลเข้ามามากขึ้นรวมไปถึงการส่งออกสินค้าบางอย่างที่มากขึ้นผิดปกติในช่วงนี้ เช่น การส่งออกทองคำไปกัมพูชามูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาทซึ่งมีผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น แต่ก็มีบางปัจจัยที่คงไม่สามารถเข้าไปแก้ไขได้ เช่น การที่ประเทศเพื่อนบ้านใช้เงินบาทในการซื้อขายสินค้าในประเทศแทนการใช้เงินของประเทศตนเองก็มีส่วนให้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นเพราะความต้องการในตลาดมีมาก การที่ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นก็มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาท เพราะประเทศไทยมีทุนสำรองที่เป็นทองคำเยอะมากเช่นกัน และมีนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนหรือซื้อทองคำในประเทศไทยมากขึ้น และดูแล้วทิศทางของค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง

   แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยคงต้องมีมาตรการชะลอความร้อนแรงเพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไปและไม่ให้กระทบกับการส่งออก การท่องเที่ยว และการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศซึ่งเป็น 3 เครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย รวมไปถึงการเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติในประเทศไทยด้วยที่อาจจะเกิดความล่าช้าในการตัดสินใจหรือขอชะลอการโอนกรรมสิทธิ์หรือการจ่ายเงินออกไปก่อนเพื่อรอค่าเงินให้อ่อนค่าลงมา เพราะเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินหยวนจีนก็แข็งค่าขึ้นมาเช่นกัน
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ