ส่องตลาดโรงแรม 'กทม.-ภูเก็ต' เปิดใหม่คึก-อัตราเข้าพักสูง-ราคาห้องพุ่ง
วันที่ : 11 กันยายน 2568
ไนท์แฟรงค์ ชาร์ตเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดโรงแรมในกรุงเทพฯ มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางการฟื้นตัวในครึ่งแรกของปี 2568 อัตราการเข้าพักเฉลี่ยลดลงเหลือ 75.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ค่อนข้างดี มีการเข้าพักเกินกว่า 81% แต่เดือนต่อๆ มาลดลง ต่อเนื่องถึงเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 69.8% ต่ำที่สุดรอบกว่า 1 ปี
จากสถานการณ์ "นักท่องเที่ยวต่างชาติ" ที่ยังเข้าสู่โหมดซึม จากหลากหลายบรรยากาศตึงเครียดที่ถาโถม ส่งผลกระทบชิ่งถึงธุรกิจโรงแรมไทยเหงาตามไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่ "กรุงเทพฯและภูเก็ต" จุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
"คาร์ลอส มาร์ติเนซ" ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาตลาดอสังหาริมทรัพย์ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์ตเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดโรงแรมในกรุงเทพฯ มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางการฟื้นตัวในครึ่งแรกของปี 2568 อัตราการเข้าพักเฉลี่ยลดลงเหลือ 75.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ค่อนข้างดี มีการเข้าพักเกินกว่า 81% แต่เดือนต่อๆ มาลดลง ต่อเนื่องถึงเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 69.8% ต่ำที่สุดรอบกว่า 1 ปี สะท้อนถึงผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนห้องพัก ระยะเวลาเข้าพักที่สั้นลง การพึ่งพาตลาดระยะใกล้ที่มีศักยภาพด้านผลตอบแทนต่ำกว่า ส่วนราคา ห้องพักต่อคืนเพิ่มขึ้น 3.3% ต่อปี อยู่ที่ 4,260 บาท สูงสุดอยู่ที่เดือนมกราคม ขณะที่ ต่ำสุดอยู่เดือนพฤษภาคมและมิถุนายน การเติบโตที่จำกัดของราคาห้องพัก รวมกับการลดลงของอัตราการเข้าพัก กดดันรายได้ต่อห้องพักโดยเฉพาะในไตรมาส 2
สำหรับโรงแรมใหม่มีเปิดบริการ 7 แห่ง รวม 1,906 ห้อง มีตั้งแต่โรงแรมหรูถึงระดับกลางถึงบน เช่น แกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ ลุมพินี, โฟร์พอยท์ บาย เชอราตัน, อมัน นายเลิศ, ควีนส์แลนด์ โฮเทล และเดอะควอเตอร์ นอกจากนี้ ยังมีโรงแรมอีก 12 แห่ง รวม 3,283 ห้อง ที่มีกำหนดเปิดในครึ่งหลังของปี 2568 สะท้อนถึงการเติบโตของโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องและการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้น โดยโรงแรมใหม่หลายแห่งตั้งอยู่ในย่านเมืองที่เกิดใหม่หรือได้รับการพัฒนาใหม่ ส่งผลให้ตลาดโรงแรมในกรุงเทพฯกระจายตัวมากขึ้น แบรนด์ในประเทศ เช่น เดอะควอเตอร์ และควีนส์แลนด์ ยังคงขยายตัวเชิงรุกกลุ่มระดับกลางถึงบน ขณะที่เชนโรงแรมนานาชาติ เช่น เรดิสัน และโฟร์พอยท์ เพิ่มการลงทุนในตลาด สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อศักยภาพในระยะยาวของกรุงเทพฯ
"ความน่าสนใจในครึ่งหลังของปี คือการ ดูดซับอุปทานใหม่กว่า 3,283 ห้องพักที่จะเปิดก่อนสิ้นปี จะทำให้อุปทานใหม่รวมทั้งปี 2568 เกินกว่า 5,100 ห้องพัก นับเป็นการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่โควิด โดยปัจจัยฉุดรั้งคือ การลดลงอย่างมากของนักท่องเที่ยวจีนที่หดตัว 35% แม้จีนยังคงเป็นตลาดนักท่องเที่ยวหลักของไทยในเชิงปริมาณ แต่การชะลอตัวส่งผลกระทบอย่างมากต่อโรงแรมระดับกลางและโรงแรมที่ พึ่งพาทัวร์กลุ่มเป็นหลัก" คาร์ลอสกล่าว"คาร์ลอส" ย้ำด้วยว่า ภายใต้บริบทนี้ การเติบโตของรายได้ต่อห้องพัก คาดจะขับเคลื่อนโดยปริมาณนักท่องเที่ยว โดยพึ่งพาอัตราการเข้าพักที่แข็งแกร่งช่วงเดือนพีค เช่น พฤศจิกายนและธันวาคม ได้รับแรงหนุนวันหยุด สิ้นปีและความต้องการจากกลุ่ม MICE แต่กลุ่มโรงแรมระดับกลางมีการแข่งขันจากผู้เล่นรายใหม่ ศักยภาพในการตั้งราคายังคงได้รับแรงกดดัน ขณะที่กลุ่มโรงแรมหรูยังมีเสถียรภาพมากกว่า ได้แรงหนุนจากนักเดินทางระยะไกลและนักท่องเที่ยวระดับรายได้สูงจากภูมิภาค แม้การเติบโตของราคาจะอยู่ในระดับจำกัดและมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในกลุ่มโรงแรมระดับบน แต่ได้เปรียบด้านราคาเมื่อเทียบสิงคโปร์ ฮ่องกง และโตเกียว อาจช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนด้วยประสบการณ์ ซึ่งมองหาความคุ้มค่าในราคาที่แข่งขันได้
สำหรับ "ตลาดโรงแรมภูเก็ต" คาร์ลอส มองว่า ยังคงมีความแข็งแกร่งในครึ่งปีแรก มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 79.5% เดือนมกราคม-เมษายน เป็นฤดูการท่องเที่ยวสูง พีคสุดเดือนมกราคมที่ 91.8% และตลอดทั้ง 4 เดือนเกินกว่า 81% ขณะที่กลางปีเป็นฤดูโลว์ ซีซั่น มีการชะลอตามปกติ โดยเดือนมิถุนายนมีการเข้าพักต่ำสุดที่ 66.9% ด้านค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวันของตลาดเพิ่มขึ้น 7.8% เป็น 5,652 บาท ได้แรงหนุนโรงแรมกลุ่มลักชัวรี่และอัพเปอร์อัพสเกลริมชายหาดและรีสอร์ตเป็นแบรนด์ต่างประเทศ แต่การปรับขึ้นราคาเริ่มทรงตัว สะท้อนถึงสภาวะแวดล้อมด้านราคาในตลาดโรงแรมที่มีความสมดุลมากขึ้น
ขณะที่อุปทานเพิ่มขึ้นพอประมาณ มีเปิดใหม่ 2 แห่ง รวม 376 ห้อง ในกลุ่มอัพสเกลถึงอัพเปอร์อัพสเกล สำหรับครึ่งปีหลังคาดมีอีก 9 แห่ง รวม 1,758 ห้อง ทำให้ตลอดปีนี้มีอุปทานใหม่รวม 2,134 ห้อง เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมากเทียบกับ 884 ห้องในปี 2567 แต่ยังสร้างแรงกดดันทางการแข่งขันในระยะสั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องรักษาวินัยด้านราคา เพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการจัดจำหน่าย ขยายตลาดนักท่องเที่ยวให้หลากหลายขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรในสภาพแวดล้อมการแข่งขันที่มีการแบ่งส่วนตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ
แนวโน้มครึ่งปีหลังด้วยโมเมนตัมที่มั่นคง ได้รับแรงสนับสนุนจากความต้องการระหว่างประเทศที่ต่อเนื่องและผลการดำเนินงานของโรงแรมที่แข็งแกร่งในครึ่งปีแรก การยกเว้นวีซ่า เช่น รัสเซีย อินเดีย จีน ยังคงมีผลบังคับใช้ แม้นักท่องเที่ยวจีนลดลง แต่นักท่องเที่ยวรัสเซีย อินเดีย และยุโรปยังคงแข็งแกร่ง คาดช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานช่วงไฮซีซั่น โดยทั้งปี อัตราเข้าพักคาดจะทรงตัวอยู่ระหว่าง 78% ถึง 80% และไตรมาส 4 จะเกิน 85% ในช่วงพีค ซีซั่น อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยคาดว่า จะคงตัวเทียบกับปีก่อน หลังปรับขึ้นมาต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของรายได้ต่อห้องพักคาดว่ามาจากความพยายามผลักดันอัตราการเข้าพักให้สูงขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงโลว์ ซีซั่น ซึ่งความต้องการมักจะชะลอตัว
"ช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ตลาดโรงแรมหลักของประเทศไทย ทั้ง 2 พื้นที่ มีทิศทางแตกต่างกัน กรุงเทพฯเผชิญกับอัตราการเข้าพักที่ลดลง แม้นักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงทรงตัวและค่าเฉลี่ยรายได้ต่อห้อง ปรับเพิ่มขึ้น เพียงเล็กน้อย ขณะที่ภูเก็ตกลับมีการเติบโตที่แข็งแกร่งกว่า มีอัตราการเข้าพักและค่าเฉลี่ยรายได้ต่อห้องที่สูงขึ้นจากอุปสงค์นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังคงแข็งแรง สำหรับแนวโน้มครึ่งหลังทั้งกรุงเทพฯและภูเก็ตกำลังเผชิญซัพพลายใหม่จำนวนมากที่จะทยอยเปิด เพิ่มความเข้มข้นการแข่งขัน การรักษาวินัยด้านราคา การปรับกลยุทธ์การวางตำแหน่งทางการตลาดจะเป็นปัจจัยสำคัญ" คาร์ลอสกล่าว"กิตติ วรบรรพต" กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันอัตราเข้าพักในโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ในกรุงเทพฯและพัทยา เฉลี่ยอยู่ที่ 80-90% ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ทั้งเอเชีย จีน ยุโรป ตะวันออกกลาง รวมถึงคนไทย ส่งผลให้โดยรวมไตรมาส 3 ปีนี้ดีกว่าไตรมาส 2 สำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้ามาเป็นกลุ่มมาท่องเที่ยวเองและมีกำลังซื้อ ขณะนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจองห้องช่วงเดือนธันวาคมเข้ามาแล้ว 60-70% ที่แกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี และแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ราชดำริ ทำให้เลื่อนเปิดแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ เพรสทีจ กรุงเทพฯ เร็วขึ้นเป็นเดือนธันวาคมนี้ จากเดิมไตรมาส 1/2569 ราคาห้องคืนละ 8,000 บาทบวกลบ
"ภวัฒก์ องค์วาสิฏฐ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดท่องเที่ยวไทยไตรมาส 3/2568 ฟื้นตัวชัดเจนหลังผ่านพ้นจุดต่ำสุดไตรมาส 2 ซึ่งเดือนสิงหาคมมีโรงแรมทำรายได้สูงสุด ได้แก่ วีรันดา คอลเล็กชั่น สมุย-ร็อคกี้ รีสอร์ต มีอัตราเข้าพัก 90% ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อคืน 6,690 บาท วีรันดา รีสอร์ต ภูเก็ต, ออโตกราฟ คอลเล็กชั่น มีอัตราเข้าพัก 67% ราคาห้องพักเฉลี่ยต่อคืน 5,865 บาท คาดการณ์การท่องเที่ยวไทยไตรมาส 4 นี้ จะคึกคักโดยเฉพาะเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมซึ่งเป็นไฮซีซั่น
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ