ตัวเลขกำไร-ขาดทุน 'กระจกสะท้อน' อสังหาฯ ไทย
วันที่ : 23 พฤษภาคม 2568
เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีนี้ สะท้อนศักยภาพของเอพี ไทยแลนด์ ในฐานะบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกจะยังคงผันผวน บริษัทสามารถสร้างยอดขายสุทธิสูงถึง 12,110 ล้านบาท มีรายได้รวม 9,509 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 864 ล้านบาท โดยยังคงรักษาเสถียรภาพทางการเงินไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเพียง 0.68 เท่า
สถานการณ์ของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมา ถือได้ว่าสาหัสกันพอสมควร โดยเฉพาะในช่วงเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน รวมถึงผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก ซึ่งทุกองค์กรต่างต้องกลับมาดูมาตรฐานของ การก่อสร้างกันมากขึ้น ยิ่งทำให้การตัดสินใจในการซื้ออสังหา ริมทรัพย์ยากขึ้นตามไปด้วย
นอกจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันแล้ว โจทย์ยากของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ยังมีปัจจัยต่าง ๆ ที่ต้องคอยติดตามอย่างต่อเนื่องด้วย โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่โตช้าไล่ไม่ทันกำลังซื้อ มีตัวแปรค่าที่ดินที่ยังแพง ค่าก่อสร้างที่ปรับขึ้นตามวัสดุ ค่าแรง น้ำมัน ผลจากสงครามรัสเซียกับยูเครนที่ยังไม่จบ กระทบต้นทุนก่อสร้าง การขนส่ง
เรื่องที่สองสต๊อกเก่ายังมีคงเหลืออยู่ ผู้ประกอบการต้องดูแลตัวเอง ไม่ลงทุนผลักซัพพลายใหม่เข้าสู่ตลาดมากเกินไป เพราะหากขายไม่ได้ จะกระทบต่อสภาพคล่องตัวเองและตลาดโดยรวม ขณะที่ผู้บริโภคต้องซื้อบนความพร้อม ถ้าไม่มีก็ต้องพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ เช่น ลดขนาดพื้นที่ให้เหมาะกับงบประมาณและครอบครัว
ดันนั้นปี 2568 จึงเป็นปีที่ตลาดยังเหนื่อย ต้องปรับตัวกันทุกฝ่าย และระมัดระวังกันมากขึ้น ซึ่งในไตรมาสแรกปีนี้ คงยังไม่มีเปิดตัวใหม่มาก เพื่อรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาด ซึ่งบริษัทก็รอดูสถานการณ์ ยังไม่มี เปิดตัวใหม่ และในช่วงระยะเวลาไตรมาสแรกของปี 2568 แม้จะมีปัจจัยที่ทำให้การซื้ออสังหาริมทรัพย์มีการชะลอตัวไปบ้าง แต่สำหรับผลประกอบการของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 3 เดือนแรก จึงไม่ใช่แค่ตัวเลขกำไรขาดทุนที่บอกว่าใครทำได้ดี แต่เป็นเหมือน "กระจกสะท้อน" ที่ฉายให้เห็นถึงภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาดอสังหาริมทรัพย์ และความสามารถในการปรับตัวของผู้เล่นแต่ละราย
ทั้งนี้ บางกอกทูเดย์ จึงได้ด้รวบรวมข้อมูลผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยพบว่าเกือบทุกบริษัทมีรายได้และกำไหรลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปัจจัยที่แตกต่างกัน
เริ่มกันที่ บมจ.เอพี ไทยแลนด์ โดย นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ กล่าวว่า "ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีนี้ สะท้อนศักยภาพของเอพี ไทยแลนด์ ในฐานะบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกจะยังคงผันผวน
บริษัทสามารถสร้างยอดขายสุทธิสูงถึง 12,110 ล้านบาท มีรายได้รวม 9,509 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 864 ล้านบาท โดยยังคงรักษาเสถียรภาพทางการเงินไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเพียง 0.68 เท่า
โดยในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายอสังหาริมทรัพย์ไว้ที่ 55,000 ล้านบาทเป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 52,900 ล้านบาทกับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 42 โครงการมูลค่า 65,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการมูลค่า 26,500 ล้านบาท ทาวน์โฮมและบ้านแฝดจำนวน 18 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาทคอนโดมิเนียม 6 โครงการมูลค่า 20,200 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการมูลค่า 3,300 ล้านบาท
บมจ.แสนสิริ โดย นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย กล่าวว่า "ผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ของแสนสิริ สะท้อนสภาวะตลาดในช่วงเปลี่ยนผ่าน
โดยมียอดขายอยู่ที่ 15,000 ล้านบาท เติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 และ 2567 ด้านรายได้รวมอยู่ที่ 6,891 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 814 ล้านบาท บริษัทยังคงรักษาฐานะการเงินที่มั่นคงและมีเสถียรภาพพร้อมรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ดี สะท้อนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อการเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ
บมจ.ศุภาลัย มีผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 กำไรสุทธิลดลง 34% เหลือ 404.80 ล้านบาท จาก 613.64 ล้านบาทในปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 3,699.66 ล้านบาท ลดลง 21% เมื่อเทียบกับ 4,674.33 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน
บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) โดย นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัททำรายได้รวมอยู่ที่ 3,705 ล้านบาท และทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีที่ 30.6% ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม ทั้งในด้านการตลาด พัฒนาประสิทธิภาพด้านการบริหารบุคคล และต้นทุนทางการเงิน
โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Netgearing ratio) ต่ำที่ 0.3 เท่า ปรับตัวดีขึ้นจากการเน้นการลงทุนเฉพาะในธุรกิจหลักที่สร้างมูลค่าได้จริง และการบริหารเงินที่มีประสิทธิภาพ
บมจ.สิงห์ เอสเตท ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1 ปี 2568 มีรายได้หลักจากการดำเนินงานรวม 3,365 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) จากธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงานที่ประมาณร้อยละ 87 และรายได้ไม่ประจำ (Non-Recurring Income) จากธุรกิจที่พักอาศัยที่ร้อยละ 13
บมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) โดยนายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ในครึ่งปีแรกของปีงบการเงิน 2568 (ตุลาคม 2567-มีนาคม 2568) ถึงแม้บริษัทฯ จะเผชิญหน้ากับความท้าทายทางเศรษฐกิจอย่างหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง กำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัว การผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอตัว เป็นต้น
แต่ด้วยความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอซึ่งมีทั้งธุรกิจที่สร้างรายได้จากการขายและรายได้ประจำ พร้อมด้วยการบริหารพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทฯ ยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตได้ดี
ในรอบ 6 เดือนแรกของปีงบการเงิน 2568 (ตุลาคม 2567- มีนาคม 2568) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ มีรายได้ 6,298 ล้านบาท ลดลง 4.4% และมีกำไรสุทธิ 550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.9%
ขณะที่ผลประกอบการของไตรมาส 2 ปีงบการเงิน 2568 (มกรา คม-มีนาคม 2568) บริษัทฯ มีรายได้ 3,030 ล้านบาท จำนวนนี้ เป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 1,754 ล้านบาท รายได้ จากค่าเช่าและบริการ 836 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ 440 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 221 ล้านบาท
ด้าน บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW โดยนายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 1/2568 บริษัทสามารถทำรายได้รวม 1,804 ล้านบาท เติบโตราว 3% และทำกำไรสุทธิทั้งสิ้น 201 ล้านบาท ทั้งนี้สามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 8,320 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 33% และคิดเป็น 43% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี 19,500 ล้านบาท
บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE โดยนายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม กล่าวว่า ในไตรมาสแรก ปี 2568 บริษัทฯ สามารถทำรายได้รวม 1,796 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 87 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 10% มียอดขายโครงการ อยู่ที่ 1,489 ล้านบาท ยอดโอนในไตรมาสแรกอยู่ที่ 1,380 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้าเนื่องจากบริษัทฯ
บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ผลการ ดำเนินงานไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่อาศัยทุกกลุ่ม (รวมโครงการ JV) ทั้งสิ้นกว่า 3,561 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากงวดเดียวกันของปีก่อนโดยเป็นโครงการร่วมทุน (JV) 2,568 ล้านบาท ส่วนยอดขาย (Presale) รวม 8,027 ล้านบาท
โดยแบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียม ภายใต้ ORIGIN VERTICAL อยู่ที่ 6,860 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 85% และเป็นยอดขายจากบ้านแนวราบ ภายใต้ BRITANIA อยู่ที่ 1,167 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15%
และนี่คือผลประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นของเนื้อหาสาระ ว่า ผลประกอบการไม่ได้บ่งบอกถึงภาพรวมธุรกิจว่าในปีนี้จะ "ร่วง" หรือ "รุ่ง"
ทั้งหมดนี้ ไม่เพียงเป็นเหมือน "กระจกสะท้อน" ที่ฉายให้เห็นถึงภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาดอสังหาริมทรัพย์ เท่านั้น แต่ยังเป็นการ แสดงให้เก็นถึงความสามารถในการปรับตัวของผู้เล่นในภาค อสังหาฯ ไทยแต่ละราย ที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนไปของธุรกิจ อีกด้วย
เปิดตัวเลขผลการดำเนินงานไตรมาสแรก ปี 68 ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาจเรียกได้ว่าเป็น "กระจกสะท้อน" ที่ทำให้มองเห็นภาพความสามารถในการปรับตัวของผู้เล่นแต่ละรายในธุรกิจ
นอกจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันแล้ว โจทย์ยากของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ยังมีปัจจัยต่าง ๆ ที่ต้องคอยติดตามอย่างต่อเนื่องด้วย โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่โตช้าไล่ไม่ทันกำลังซื้อ มีตัวแปรค่าที่ดินที่ยังแพง ค่าก่อสร้างที่ปรับขึ้นตามวัสดุ ค่าแรง น้ำมัน ผลจากสงครามรัสเซียกับยูเครนที่ยังไม่จบ กระทบต้นทุนก่อสร้าง การขนส่ง
เรื่องที่สองสต๊อกเก่ายังมีคงเหลืออยู่ ผู้ประกอบการต้องดูแลตัวเอง ไม่ลงทุนผลักซัพพลายใหม่เข้าสู่ตลาดมากเกินไป เพราะหากขายไม่ได้ จะกระทบต่อสภาพคล่องตัวเองและตลาดโดยรวม ขณะที่ผู้บริโภคต้องซื้อบนความพร้อม ถ้าไม่มีก็ต้องพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ เช่น ลดขนาดพื้นที่ให้เหมาะกับงบประมาณและครอบครัว
ดันนั้นปี 2568 จึงเป็นปีที่ตลาดยังเหนื่อย ต้องปรับตัวกันทุกฝ่าย และระมัดระวังกันมากขึ้น ซึ่งในไตรมาสแรกปีนี้ คงยังไม่มีเปิดตัวใหม่มาก เพื่อรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาด ซึ่งบริษัทก็รอดูสถานการณ์ ยังไม่มี เปิดตัวใหม่ และในช่วงระยะเวลาไตรมาสแรกของปี 2568 แม้จะมีปัจจัยที่ทำให้การซื้ออสังหาริมทรัพย์มีการชะลอตัวไปบ้าง แต่สำหรับผลประกอบการของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 3 เดือนแรก จึงไม่ใช่แค่ตัวเลขกำไรขาดทุนที่บอกว่าใครทำได้ดี แต่เป็นเหมือน "กระจกสะท้อน" ที่ฉายให้เห็นถึงภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาดอสังหาริมทรัพย์ และความสามารถในการปรับตัวของผู้เล่นแต่ละราย
ทั้งนี้ บางกอกทูเดย์ จึงได้ด้รวบรวมข้อมูลผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยพบว่าเกือบทุกบริษัทมีรายได้และกำไหรลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปัจจัยที่แตกต่างกัน
เริ่มกันที่ บมจ.เอพี ไทยแลนด์ โดย นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ กล่าวว่า "ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีนี้ สะท้อนศักยภาพของเอพี ไทยแลนด์ ในฐานะบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกจะยังคงผันผวน
บริษัทสามารถสร้างยอดขายสุทธิสูงถึง 12,110 ล้านบาท มีรายได้รวม 9,509 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 864 ล้านบาท โดยยังคงรักษาเสถียรภาพทางการเงินไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเพียง 0.68 เท่า
โดยในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายอสังหาริมทรัพย์ไว้ที่ 55,000 ล้านบาทเป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 52,900 ล้านบาทกับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 42 โครงการมูลค่า 65,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการมูลค่า 26,500 ล้านบาท ทาวน์โฮมและบ้านแฝดจำนวน 18 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาทคอนโดมิเนียม 6 โครงการมูลค่า 20,200 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการมูลค่า 3,300 ล้านบาท
บมจ.แสนสิริ โดย นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย กล่าวว่า "ผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ของแสนสิริ สะท้อนสภาวะตลาดในช่วงเปลี่ยนผ่าน
โดยมียอดขายอยู่ที่ 15,000 ล้านบาท เติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 และ 2567 ด้านรายได้รวมอยู่ที่ 6,891 ล้านบาท และกำไรสุทธิอยู่ที่ 814 ล้านบาท บริษัทยังคงรักษาฐานะการเงินที่มั่นคงและมีเสถียรภาพพร้อมรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ดี สะท้อนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อการเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ
บมจ.ศุภาลัย มีผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 กำไรสุทธิลดลง 34% เหลือ 404.80 ล้านบาท จาก 613.64 ล้านบาทในปีก่อนหน้า ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 3,699.66 ล้านบาท ลดลง 21% เมื่อเทียบกับ 4,674.33 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน
บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) โดย นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัททำรายได้รวมอยู่ที่ 3,705 ล้านบาท และทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีที่ 30.6% ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม ทั้งในด้านการตลาด พัฒนาประสิทธิภาพด้านการบริหารบุคคล และต้นทุนทางการเงิน
โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Netgearing ratio) ต่ำที่ 0.3 เท่า ปรับตัวดีขึ้นจากการเน้นการลงทุนเฉพาะในธุรกิจหลักที่สร้างมูลค่าได้จริง และการบริหารเงินที่มีประสิทธิภาพ
บมจ.สิงห์ เอสเตท ประกาศผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1 ปี 2568 มีรายได้หลักจากการดำเนินงานรวม 3,365 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) จากธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงานที่ประมาณร้อยละ 87 และรายได้ไม่ประจำ (Non-Recurring Income) จากธุรกิจที่พักอาศัยที่ร้อยละ 13
บมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) โดยนายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ในครึ่งปีแรกของปีงบการเงิน 2568 (ตุลาคม 2567-มีนาคม 2568) ถึงแม้บริษัทฯ จะเผชิญหน้ากับความท้าทายทางเศรษฐกิจอย่างหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง กำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัว การผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอตัว เป็นต้น
แต่ด้วยความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอซึ่งมีทั้งธุรกิจที่สร้างรายได้จากการขายและรายได้ประจำ พร้อมด้วยการบริหารพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทฯ ยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตได้ดี
ในรอบ 6 เดือนแรกของปีงบการเงิน 2568 (ตุลาคม 2567- มีนาคม 2568) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ มีรายได้ 6,298 ล้านบาท ลดลง 4.4% และมีกำไรสุทธิ 550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.9%
ขณะที่ผลประกอบการของไตรมาส 2 ปีงบการเงิน 2568 (มกรา คม-มีนาคม 2568) บริษัทฯ มีรายได้ 3,030 ล้านบาท จำนวนนี้ เป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 1,754 ล้านบาท รายได้ จากค่าเช่าและบริการ 836 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ 440 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 221 ล้านบาท
ด้าน บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW โดยนายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 1/2568 บริษัทสามารถทำรายได้รวม 1,804 ล้านบาท เติบโตราว 3% และทำกำไรสุทธิทั้งสิ้น 201 ล้านบาท ทั้งนี้สามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 8,320 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 33% และคิดเป็น 43% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี 19,500 ล้านบาท
บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE โดยนายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม กล่าวว่า ในไตรมาสแรก ปี 2568 บริษัทฯ สามารถทำรายได้รวม 1,796 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 87 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 10% มียอดขายโครงการ อยู่ที่ 1,489 ล้านบาท ยอดโอนในไตรมาสแรกอยู่ที่ 1,380 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้าเนื่องจากบริษัทฯ
บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ผลการ ดำเนินงานไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่อาศัยทุกกลุ่ม (รวมโครงการ JV) ทั้งสิ้นกว่า 3,561 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากงวดเดียวกันของปีก่อนโดยเป็นโครงการร่วมทุน (JV) 2,568 ล้านบาท ส่วนยอดขาย (Presale) รวม 8,027 ล้านบาท
โดยแบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียม ภายใต้ ORIGIN VERTICAL อยู่ที่ 6,860 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 85% และเป็นยอดขายจากบ้านแนวราบ ภายใต้ BRITANIA อยู่ที่ 1,167 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15%
และนี่คือผลประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นของเนื้อหาสาระ ว่า ผลประกอบการไม่ได้บ่งบอกถึงภาพรวมธุรกิจว่าในปีนี้จะ "ร่วง" หรือ "รุ่ง"
ทั้งหมดนี้ ไม่เพียงเป็นเหมือน "กระจกสะท้อน" ที่ฉายให้เห็นถึงภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาดอสังหาริมทรัพย์ เท่านั้น แต่ยังเป็นการ แสดงให้เก็นถึงความสามารถในการปรับตัวของผู้เล่นในภาค อสังหาฯ ไทยแต่ละราย ที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนไปของธุรกิจ อีกด้วย
เปิดตัวเลขผลการดำเนินงานไตรมาสแรก ปี 68 ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาจเรียกได้ว่าเป็น "กระจกสะท้อน" ที่ทำให้มองเห็นภาพความสามารถในการปรับตัวของผู้เล่นแต่ละรายในธุรกิจ
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ