อสังหาฯขานรับ กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบาย แม้ช่วยได้ไม่มาก
Loading

อสังหาฯขานรับ กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบาย แม้ช่วยได้ไม่มาก

วันที่ : 3 พฤษภาคม 2568
สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า การปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ลงของกนง.มองว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ การเบิกจ่ายเงินภาครัฐเป็นไปอย่างล่าช้า และผลกระทบกำแพงภาษี สหรัฐ อเมริกา ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลอยู่ระหว่างหาทางออก
     คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย วันที่ 30 เมษายน 2568 มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 จาก 2.00% เป็น 1.75% ต่อปี เนื่องจากเสียงส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจประเทศชะลอตัวและมีปัจจัยลบรอบด้าน ซึ่งสามารถช่วยลดภาระต้นทุนของผู้ประกอบการและผู้บริโภคได้

    ขณะมุมมองของ ภาคเอกชน นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ลงของกนง.มองว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ การเบิกจ่ายเงินภาครัฐเป็นไปอย่างล่าช้า และผลกระทบกำแพงภาษี สหรัฐ อเมริกา ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลอยู่ระหว่างหาทางออก

   ที่สำคัญกำลังซื้อในประเทศหดตัวโดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาสแรกของปีนี้ติดลบค่อนข้างมาก แม้ว่ามีมาตรการรัฐออกมาใช้แล้วก็ตามทั้ง ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง รวมถึงเกณฑ์ผ่อนLTV มองว่าเป็นการช่วยพยุงไม่ให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์หดตัวไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามแม้การลดดอกเบี้ยนโยบาย จะช่วยได้ไม่มากแต่ดีกว่าไม่มีทำอะไร

   เช่นเดียวกับ "นายสุรเชษฐ กองชีพ" หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาคุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทยมองว่าตลาดที่อยู่อาศัยยังชะลอตัว แม้ว่าเรื่องมาตรการรัฐบาล ยกเว้น LTV และดอกเบี้ยธนาคารลดลงอีก 0.25% ด้วยก็ยังไม่ได้กระตุ้นอะไรมาก รัฐบาลยังไม่มีอะไรใหม่ๆ มาแสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมรับมือเรื่องภาษีนอกจากเจรจา และยอมรับเงื่อนไขสหรัฐ เศรษฐกิจยังชะลอตัวทั้งจากปัจจัยภายในประเทศที่คนไทยขาดความเชื่อมั่นและรับรู้ได้ว่าภาวะเศรษฐกิจชะลอตอนนี้เป็นกันทั้งโลกและน่าจะต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปี การลดการใช้เงินเป็นสิ่งจำเป็น ยิ่งเห็นราคาทองแพงขนาดนี้คนยิ่งคิดว่าเศรษฐกิจต้องมีปัญหาแน่นอน เพราะเมื่อคนสนใจราคาทองจะรับรู้จากข่าวสารต่างๆ เองว่าทำไมทองราคาขึ้นมากขนาดนี้ ดังนั้น คนจะใช้เงินน้อยลง ที่อยู่อาศัยจะยังชะลอตัวในปีนี้

    อย่างไรก็ตามเหตุผล กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบาย มองว่าสถานการณ์นโยบายการค้าสหรัฐฯ และการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจหลักจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ การเงิน และการค้าโลกอย่างมีนัย โดยในปัจจุบันยังอยู่ในระยะเริ่มต้นที่ความไม่แน่นอนสูงมาก เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับลดลง สถานการณ์มีแนวโน้มยืดเยื้อและผลกระทบจะทอดยาวไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าการผลิตโลกที่ทำให้ประสิทธิภาพลดลงในระยะยาว ทั้งนี้ นโยบายการค้าโลกของประเทศเศรษฐกิจหลักในอนาคตยังคาดเดาได้ยาก ส่งผลต่อการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะต่อไป

   เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับลดลงและมีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าโลกและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่ากรอบเป้าหมายจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ

   ด้านภาวะการเงินโดยรวมยังตึงตัว กรรมการส่วนใหญ่จึงเห็นควรให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและรองรับความเสี่ยงด้านต่ำที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งดูแลภาวะการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนไป

   ขณะที่กรรมการ 2 ท่านเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อใช้ในจังหวะที่เกิดประสิทธิผลสูงสุดภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) ที่มีจำกัด

    เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวลดลงและมีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าโลก และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ มองไปข้างหน้า นโยบายการค้าจะเริ่มส่งผลกระทบมากขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568

    อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนยังสูงมาก คณะกรรมการฯ จึงประเมินภาพเศรษฐกิจภายใต้หลายฉากทัศน์ ตัวอย่างเช่น ฉากทัศน์ที่การเจรจาทางการค้ามีความยืดเยื้อและภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ใกล้เคียงกับอัตราปัจจุบัน (reference scenario) อาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวประมาณ 2.0%

   ฉากทัศน์ที่สงครามการค้ารุนแรงมากและภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อยู่ในอัตราที่สูง (alternative scenario) อาจทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวประมาณ 1.3%

    ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดจริงจะขึ้นอยู่กับนโยบายและการปรับตัวของประเทศ ต่างๆ จึงต้องติดตามพัฒนาการการค้าโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด การแก้ปัญหาและลดผลกระทบจากนโยบายการค้าข้างต้นจำเป็นต้องผสมผสานนโยบายหลายด้านเสริมกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ

   อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่ากรอบเป้าหมายจากราคาน้ำมันดิบโลกและมาตรการภาครัฐ ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพและลดต้นทุนของภาคธุรกิจ

   อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มทรงตัวและเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย ทั้งนี้ นโยบายกีดกันทางการค้าและการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่การผลิตโลกอาจส่งผลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า

   ภาวะการเงินยังตึงตัว สินเชื่อรวมหดตัวเล็กน้อย และคุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลงโดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อธุรกิจในกลุ่มที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง นอกจากนี้ นโยบายการค้าโลกอาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อฐานะการเงินของภาคธุรกิจและครัวเรือน จึงต้องติดตามนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและภาคการเงินที่มีความเชื่อมโยงกัน

   ความผันผวนในตลาดการเงินโลกปรับสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าประเทศเศรษฐกิจหลัก และส่งผลให้ความผันผวนของตลาดการเงินไทยสูงขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ดี การทำงานของกลไกตลาดการเงินไทยโดยรวมยังคงเป็นปกติ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินโลกและการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด

   ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ ประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงจะพิจารณาปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มและความเสี่ยงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ