อสังหาฯ9เดือนติดลบ31% 3สมาคมฯหวัง มหกรรมบ้านฯปลุกตลาด
Loading

อสังหาฯ9เดือนติดลบ31% 3สมาคมฯ หวังมหกรรมบ้านฯปลุกตลาด

วันที่ : 4 พฤศจิกายน 2567
สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า งานมหกรรมบ้านและคอนโดในครั้งนี้ จะมาช่วยผลักดันยอดขาย และตลาดรวมในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี และหากมีการผลักดันจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่องเชื่อว่าในไตรมาสแรกของปี 68 ตลาดจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้
   คลังชงครม.อนุมัติ5.5หมื่นล.เติมสินเชื่อบ้าน

   อสังหาริมทรัพย์

   ในช่วง 9 เดือนของปี67ที่ผ่านมาถือว่าเป็น ปีที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก และเป็นปีที่ตลาดอสังหาฯหดตัวแรงที่สุดในรอบ 20 ปี หลังจากมรสุมปัจจัยลบทั้งในประเทศและนอกประเทศโหมกระหนำเข้ามาพร้อมๆ กันอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย ขณะที่หนี้ครัวเรือนก็ยังอยู่ในระดับสูง อัตราดอกเบี้ยที่มีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคทำให้การตัดสินใจซื้อของลูกค้ายังชะลอตัว และมีผลต่อการยืดระยะเวลาในการตัดสินใจซื้อออกไป ซึ่งทั้งหมดที่กล่าว มามีผลให้ตลาด 9 เดือนแรกของปีนี้ ติดลบทั้งในด้านการขาย และการโอนกรรมสิทธิ์

   โดย นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า 9 เดือนที่ผ่านมา ตลาดอสังหาฯ มียอดพรีเซลถดถอย หรือมียอดขายติดลบ 31% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ในตลาดรวมหดตัวจากปีก่อน 8% อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาสที่ 4/67 นี้ แนวโน้มของตลาดมีการปรับตัวดีขึ้น ดังนั้นในช่วงไตรมาสที่ 4 ที่มีการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 46 เป็นโอกาสอันดีที่จะ ผลักดันให้ตลาดพลิกฟื้นกลับมาได้บางส่วน โดยมีปัจจัยจากมาตรการ อสังหาฯของภาครัฐ และทิศทางการปรับตัวที่ดีของตลาดรวม

   จากทั้งสองปัจจัยดังกล่าวเชื่อว่าจะสามารถผลักดันให้ยอดขายในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้ กลับคืนมาได้บางส่วน และคาดว่าจะทำให้อัตราการถดถอยของยอดขายในปีนี้ลดลง และฟื้นตัวกลับมาดีขึ้น โดยคาดว่ายอดขายตลาดรวมจะติดลบลดลงเหลือประมาณ -20% จากเดิมในช่วง 9 เดือนติดลบ -31% และยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจะสามารถพลิกฟื้นดีขึ้น โดยคาดว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์จะพลิกฟื้นกลับมาอยู่ที่ -4 หรือ -5% จากเดิมในช่วง 9 เดือน ยอดโอนกรรมสิทธิ์ติดลบ 9%

    "งานมหกรรมบ้าน และคอนโด ในครั้งนี้จะเป็นการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของตลาดให้กลับมา เพราะตอนนี้แบงก์เองมีการปรับลดดอกเบี้ยไปแล้ว ในขณะที่ผู้ประกอบการ หรือภาคเอกชน มีการออกตัวทำตลาดไปแล้ว โดยการจัดแคมเปญพิเศษ เพื่อช่วยเพิ่มกำลังซื้อ และเร่งการตัดสินใจลูกค้า ดังนั้น รัฐเองก็ควรจะเข้ามาส่งเสริมด้วยการต่ออายุมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน ธุรกิจอสังหาฯในปีหน้า ซึ่งจะช่วยสร้างความต่อเนื่องและผลักดันให้ตลาดฟื้นตัวกลับมาได้เร็วขึ้น"

    นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดอสังหาฯ ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดมาแล้ว หลังจากนี้เชื่อว่าตลาดจะเริ่มกลับมาทยอยฟื้นตัว โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี หลังจากได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของภาครัฐและการจัดแคมเปญส่งเสริมการตลาดของผู้พัฒนาโครงการพัฒนาอสังหาฯ ในขณะเดียวกันทิศทางของดอกเบี้ย ซึ่งมีการปรับลดลง ช่วยลดแรงกดดันทางดอกเบี้ยให้กับผู้บริโภคและผู้พัฒนาโครงการ

    "ปัญหาเดียวที่ส่งผลต่อการขยายตัวของตลาดในขณะนี้ คือ การเข้าถึงแหล่งสินเชื่อบ้านของผู้บริโภค เพราะสถาบันการเงินยังคง เข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อที่อาศัย ทำให้ผู้บริโภคยังเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้น้อย ดังนั้นในช่วงปลายปีนี้ หากภาครัฐเข้ามาสนับสนุนร่วมกับ เอกชน จะทำให้ตลาดอสังหาฯ มีโอกาสฟื้นตัวได้มากขึ้น โดยเฉพาะ หลังจากสิ้นปี หากรัฐต่ออายุมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคธุรกิจอสังหาฯ เชื่อว่าจะสร้างความต่อเนื่องช่วยให้เกิดการฟื้นของตลาดได้ ต่อเนื่องไปในปี 68 ด้วย

    "ส่วนมาตรการอสังหาฯ ที่จะเข้ามาส่งเสริมตลาด ในช่วงปลาย ปีนี้ และปีหน้า หากรัฐมีการออกมาตรการสนับสนุนโดยการงดเว้นการบังคับใช้มาตรการ LTV ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อบ้านหลังที่ 2 หลังที่ 3 รวมถึงการซื้อเช่าของนักลงทุนถือเป็นการร่วมมือนโยบายการเงินการคลัง ซึ่งจะช่วยให้ตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัวกลับมาได้"

    นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า งานมหกรรมบ้านและคอนโดในครั้งนี้ จะมาช่วยผลักดันยอดขาย และตลาดรวมในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี และหากมีการผลักดันจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่องเชื่อว่าในไตรมาสแรกของปี 68 ตลาดจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ ส่วนปัจจัยที่เข้ามากระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจากมุมมองด้านเศรษฐกิจ ซึ่งมองว่าเศรษฐไทยกิจยังคง ชะลอตัวนั้น หากพิจารณาสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันให้ดี จะพบว่ามีการเข้ามาลงทุน ของกลุ่มทุนต่างชาติมากขึ้น โดยพบว่าอุตสาหกรรมต่างๆ มีการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมดาต้าไอที ซึ่งส่ง ผลดีต่อเศรษฐกิจให้กลับมาขยายตัวเร็วขึ้น และมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้ฟื้นตัวกลับมาในปีหน้าได้

    คลังเสนอ ครม.อนุมัติ 5.5 หมื่นล.เติมสินเชื่อบ้านผ่าน ธอส.

    นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าว ในพิธีเปิด "งานมหกรรมบ้าน และคอนโดฯ ครั้งที่ 46 ซึ่งจัดขึ้นโดย 3 สมาคม ได้แก่ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทย ว่า ภาครัฐตระหนักดีว่าภาคธุรกิจอสังหาฯ มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจอย่างมาก โดยอุตสาหกรรมอสังหาฯสามารถสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ได้สูงถึง 5-6% และในช่วงปี 66 ที่ผ่านมา และยังสามารถสร้างจีดีพีได้สูงสุด ทำให้มูลค่ารวมในอุตสาหกรรมนี้สูงราว 1.1 ล้านล้านบาท จากเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยโตเพียง 1.9% และเชื่อว่าในปี 68 ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตเข้าไปใกล้ปกติที่ 3.5% จากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตที่ 2.7%

    ถึงแม้สถานการณ์ธุรกิจปัจจุบันนี้ไม่สดใส ในส่วนของทางกระทรวงการคลังที่ได้วางแนวทางในการสนับสนุนภาคอสังหาฯ มาอย่างต่อเนื่องทั้งโครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home ที่ได้ปล่อยสินเชื่อเต็มกรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท โครงการสินเชื่อ Happy Life ที่ปล่อยสินเชื่อไปแล้วจำนวน 18,000 ล้านบาท ซึ่งก็ได้ผลตอบรับที่ดี และล่าสุดยังเตรียมเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ในการออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ผ่านสินเชื่อ ซื้อ-แต่ง-ซ่อม-สร้างบ้านและคอนโดฯ ดอกเบี้ยต่ำ วงเงินรวม 55,000 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการมีบ้านของประชาชนที่มีรายได้น้อย ให้เข้าถึงสินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ยต่ำ มีโอกาสในการซ่อมแซม ต่อเติมบ้านให้มั่นคงได้ ซึ่งหากผ่านมติ ครม. ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นอีกฟันเฟืองของทางภาครัฐในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ส่งต่อความสดใสถึงต้นปี 68

    ส่วนเรื่องการผ่อนคลายมาตรการกำกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value : LTV) ซึ่งตนมองว่าขณะนี้ประเทศไทยต้องการการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นเงื่อนไขของการฟื้นประเทศ ต้องมีการลงทุนโดยผู้ประกอบการต้องเข้าถึงสินเชื่อได้ ซึ่งการผ่อนคลายมาตรการจะสามารถดำเนินการได้ ต้องมีการสะสางหนี้เก่าให้ลดลงจนอยู่ในระดับที่น่าพอใจก่อน โดยในส่วนนี้กระทรวงการคลังพร้อมที่จะดูแลให้ แม้หนี้อาจจะลดลงไม่มาก แต่ก็มีหลายแนวทางในการช่วยเหลือ เช่น พักชำระดอกเบี้ย 2-3 ปี หรือตัดหนี้ทิ้งให้อย่างมีเงื่อนไข ส่วนเงินต้นจะยืดระยะเวลานานขึ้น เป็นการแก้ปัญหา ทั้งหนี้ภาคอสังหาฯและหนี้รถยนต์ โดยจะมีการหารือกับธนาคารพาณิชย์ในวันที่ 1 พ.ย.67 นี้

    "ทั้งนี้จะเห็นได้ชัดว่าผลจากการดำเนินมาตรการรัฐบาลหลังการเปลี่ยนถ่ายรัฐบาล และการออกแรงของเอกชนทำให้ตลาดค่อยๆ กลับมาสู่สภาพปกติ ถือว่าเป็นของขวัญระยะยาวให้กับตลาดอสังหาฯ ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วน สำหรับการต่ออายุมาตรการ เช่น ลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค. 67 ที่ภาคเอกชนขอให้ขยายเวลา ขณะนี้องค์กรที่เกี่ยวข้องกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา หากมองว่าเป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจและประชาชน"

    คาดเงินสะพัดงานมหกรรมบ้านฯ 20,000 ล้าน

    ด้าน นายถิรชนม์ ธเนศเดชสุนทร ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่ 46 เปิดเผยว่า งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งนี้ ภาคเอกชน สถาบันการเงิน ต่างพร้อมใจร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อีกทั้งการที่ กนง. ออกมาลดดอกเบี้ยล่าสุด ยิ่งจะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภคทันที ซึ่งเป็นจังหวะที่ถูกเวลามาก สำหรับการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 เพราะจะส่งผลดีให้แก่ผู้ประกอบการที่มาร่วมงานกว่า 150 บูท โดยนำโครงการมาร่วมออกบูทในงานกว่า 1,000 โครงการ ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้ผู้บริโภค และยังกระตุ้นตลาดในช่วงปลายปีด้วย โดยคาดว่างานนี้จะมีเม็ดเงินสะพัดมากถึง 20,000 ล้านบาท

    สำหรับโครงการที่มาออกบูทกว่า 1,000 โครงการ มีทั้ง บ้านเดี่ยวทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียม และอื่นๆ ที่ครอบคลุมทุกรูปแบบ ทุกราคา ทุกทำเล ยิ่งไปกว่านั้น การจัดงานครั้งนี้ยังเป็นการรวมสถาบันการเงินชั้นนำที่มากมาย เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์, ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารไทยพาณิชย์, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงเทพที่พร้อมใจมาจัดข้อเสนอพิเศษ ในอัตราดอกเบี้ยที่พิเศษให้กับผู้เข้าชมงาน โดยเฉพาะงานนี้งานเดียวเท่านั้น ซึ่งสำหรับคนที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยงานนี้ถือเป็นโอกาสดีที่สุดของโค้งสุดท้ายปี 67 นี้

    "สำหรับโปรโมชันของงานในปีนี้ ทาง 3 สมาคมฯ ได้เตรียมไว้สำหรับผู้จองซื้อที่อยู่อาศัยในงาน มีทั้งสิทธิ์ในการลุ้นรับทองคำ และเครื่องใช้ไฟฟ้าจากแบรนด์ยอดนิยมพานาโซนิค รวมมูลค่ากว่า 800,000 บาท รวมทั้งยังมีของสมนาคุณอีกมากมายสำหรับผู้ที่จองซื้อภายในงานตลอด 4 วัน โดยงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ต.ค.-3 พ.ย. 67 ณ ฮอลล์ 5 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

     เอสซี แอสเสทฯ ขน 70 โครงการออกบูทเป้า 2,000 ล.

     นายณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาดบริษัท เอสซีแอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าการจัดงานครั้งนี้เอสซีฯได้ขนบ้านและคอนโดฯจำนวน 70 โครงการ มูลค่าหลายหมื่นล้านบาทมาร่วมออกบูทในงาน โดยใช้พื้นที่ 250 ตารางเมตร ภายใต้ธีม "ราคาเทพ" โดยงานนี้ผู้ประกอบการหลายรายต่างงัดโปรโมชันเด็ดมาจัดแบบเต็มพิกัดทิ้งโค้งสุดท้ายของปี 2567 ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการต่างรอคอย ซึ่งในส่วนของเอสซีฯเองใช้งบในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ประมาณ 15 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถกวาดยอดขายก่อนงาน และภายในงานได้รวมประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากโครงการบ้านเดี่ยวประมาณ 1,700 ล้านบาท และจากคอนโดฯ 300 ล้านบาท

     "มองว่าบรรยากาศการซื้อขายอสังหาฯเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวมาตั้งแต่ไตรมาส 3/2567 โดยยอดขายหลักของเอสซีฯจะมาจากการออกบูทจัดกิจกรรมทั้งปี ซึ่งที่ผ่านมาการจัดงานที่สยามพารากอน สามารถทำยอดขายได้มากสุดที่ 1,500 ล้านบาท และคาดว่าทั้งปียอดขายจากโครงการแนวราบจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 1,800 ล้านบาท โดยปัจจุบันสามารถทำได้แล้ว 1,300 ล้านบาท" นายณัฏฐกิตติ์ กล่าว

      นายณัฏฐกิตติ์ กล่าว เพิ่มเติมว่า ในช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้จะมีการเปิดตัวบ้านหรูระดับลัวชัวรีขึ้นไป อีกประมาณ 3 โครงการ โดยเดือนพฤศจิกายน เปิดตัว 2 โครงการคือ บางกอก บูเลอวาร์ด บางนา กม.12 และ บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม 2 มูลค่ารวมประมาณ 2,000 ล้านบาท และเดือนธันวาคมจะเปิดตัวอีก 2 โครงการ คือ บางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์ พระราม 2 และ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สุขสวัสดิ์-พระราม3 ซึ่งโครงการนี้มีแผนจะเปิดตัวในต้นปี 2568 แต่ได้ปรับแผนทดลองเปิดขายในช่วงปลายปี 2567 ก่อน ส่วนรายละเอียดต่างๆ ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ในขณะนี้

      เอ็น.ซี.ฯโหมอัดแคมเปญทุกไซต์ปันยอดปี 68 จ่อขึ้นคอนโดฯเติมพอร์ตสินค้าแนวสูง

      นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NC กล่าวว่า ในช่วงต้นปีตั้งเป้าไว้ว่าจะ มีการเปิดตัว 6 โครงการใหม่มูลค่า 7,000 ล้านบาท มียอดขาย 5,000 ล้านบาท และมีรายได้อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขยายตัวตามประมาณการเศรษฐกิจที่รัฐบาลคาดการณ์ว่าในปีนี้ จีดีพี จะขยายตัวอยู่ที่ 3% ซึ่งจะทำให้กำลังซื้อฟื้นตัวกลับคืนมาได้ แต่เนื่องจากปีนี้ตลาด รวมได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบแนวโน้มดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ผลกระทบจากภาวะสงคราม และปัญหาหนี้ครัวเรือน ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัวได้

     แนวโน้มดังกล่าวทำให้ เอ็น.ซี.ฯ มีการปรับแผนธุรกิจ โดยเลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป 4 โครงการ ทำให้ในปีนี้มีการเปิดตัวโครงการเพียง 2 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 1,500 ล้านบาท

     อย่างไรก็ตาม แม้ว่าก่อนหน้านี้ คณะกรรมการกำกับนโยบาย การเงิน (กนง.) มีการปรับอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ซึ่งเป็นการคลาย ความกดดันทางด้านดอกเบี้ย แต่การเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน ยังคงอยู่ในระดับเดิม ทำให้การปฏิเสธสินเชื่อ ยังไม่ลดลง อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 เดือนสุดท้าย ของปี เอ็น.ซี.ฯ ได้ จัดแคมเปญพิเศษในทุกๆ โครงการ เพื่อกระตุ้นยอดในช่วงปลายปี รวมทั้งการนำโครงการบ้านแนวราบไปออกบูท และจัดแคมเปญพิเศษ ในงานมหกรรมบ้าน และคอนโดครั้งที่ 46 ซึ่งคาดว่าจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท

     ส่วนทิศทางตลาดในปีหน้า เอ็น.ซี.ฯ คาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจ ในประเทศจะฟื้นตัวดีขึ้น จากการลงทุนในอุตสาหกรรม และการ ท่องเที่ยว โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา ทิศทาง เศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งตัวแปรดังกล่าวเป็นปัจจัยที่ต้อง ติดตามเพื่อประเมินทิศทางการลงทุนใหม่ อย่างไรก็ดี ในปี 68 เอ็น.ซี.ฯ คาดว่าจะมีการลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใหม่เพื่อเติมพอร์ต สินค้ากลุ่มแนวสูง ใน 2 ทำเลที่มีแลนด์แบงก์รองรับแล้ว คือ เชียงใหม่ และพัทยา ส่วนการลงทุนใน กทม. และปริมณฑล ต้องพิจารณา เป็นรายทำเลไป โดยเฉพาะในเรื่องของดีมานด์ และซัปพลายในพื้นที่ รวมถึงระดับราคาด้วย

    "ในแต่ละปีเราจะมีงบซื้อที่ดินปีละ 500-1,000 ล้านบาท โดยนโยบายการซื้อที่ดินใหม่นั้น จะเลือกซื้อที่ดินในทำเลใกล้กัน หรือแปลงที่สามารถขยายเฟสในการพัฒนาในโครงการเดิมได้ ซึ่งทำให้ไม่ต้อง เร่งรีบในการพัฒนาทันที ส่วนในทำเลใหม่ๆ การซื้อที่ดินจะเลือกซื้อ แปลงไม่ใหญ่มา และจะพัฒนาหรือเปิดโครงการใหม่ในทันที" 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ