นิปปอนเพนต์ ทรานส์ฟอร์ม เปิดเกมรุกสู่ผู้นำนวัตกรรมสี
วันที่ : 23 กุมภาพันธ์ 2566
นิปปอนเพนต์ เผยว่า ตลาดสีในประเทศไทย เป็นตลาดที่มีรายใหญ่ และมีรายใหม่เข้ามาเรื่อยๆ มีทั้งแบรนด์ที่อยู่ได้ และอยู่ไม่ได้ เป็นตลาดเรดโอเชียน แข่งขันรุนแรง โดยตลาดจะแข่งขันกันด้วยนวัตกรรม และการให้บริการ แก่ลูกค้า
วราภรณ์ เทียนเงิน
กรุงเทพธุรกิจ
มหันตภัยโควิดเป็นปัจจัยเร่ง! ให้องค์กรทั่วโลกต้องปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว เช่นเดียวกับ "นิปปอนเพนต์" ปรับกลยุทธ์และโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ รองรับการเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
วัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสี "นิปปอนเพนต์" กล่าวว่า กิจกรรมทางการตลาดที่กลับมาในวิถีปกติ มากขึ้น ทั้งการเปิดประเทศแบบเต็มรูปแบบ ส่งผลต่อบรรยากาศโดยรวมเป็นไปใน ทิศทางที่ดี ประการสำคัญธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการขยายโครงการใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะอาคารสูง จึงส่งผลดีต่อการกระตุ้นตลาดโดยรวมขยายตัวต่อเนื่อง
โดยภาพรวมตลาดสีในประเทศไทย มีมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านบาท มีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งตลาดสี ดังกล่าวแบ่งเป็นตลาดสีทาบ้านและ อาคารที่มีขนาดใหญ่สุด มีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท คาดว่าจะมีการเติบโตประมาณ 10% ขณะที่ปี 2565 ภาพรวมตลาดสีทาบ้านและอาคาร มูลค่าประมาณ 27,000 ล้านบาท เติบโต 6%
"ตลาดสีในประเทศไทย เป็นตลาดที่มีรายใหญ่ และมีรายใหม่เข้ามาเรื่อยๆ มีทั้งแบรนด์ที่อยู่ได้ และอยู่ไม่ได้ เป็นตลาดเรดโอเชียน แข่งขันรุนแรง โดยตลาดจะแข่งขันกันด้วยนวัตกรรม และการให้บริการ แก่ลูกค้า"
ทั้งนี้ "นิปปอนเพนต์" ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยครบรอบ 56 ปี ได้มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ในช่วงโควิด เพื่อรองรับการเติบโตขององค์กรใน ระยะยาว ผ่านกลยุทธ์ "3C" ประกอบด้วย "Customer Centric" ยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก "Customized Solution" การนำเสนอโซลูชั่นที่เหมาะสมและตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า และ "Concreate Innovation" การคิดค้นและวิจัยพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอนวัตกรรมสีแก่ลูกค้า ตลอดจนการมุ่งยกระดับ เสริมทักษะของพนักงานในองค์กรอย่างไม่หยุดนิ่ง
ปัจจุบัน นิปปอนเพนต์ มีสีที่ครอบคลุมในทุกความต้องการ และสามารถสร้าง สีนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและปลอดภัยต่อลูกค้า รวมถึงได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนมาตรฐานการผลิตสินค้าในโรงงาน เพื่อรองรับ การก้าวสู่การจัดทำคาร์บอนฟรุตพริ้นท์ ตามเทรนด์ในตลาด
ผงาดผู้นำตลาดสีใน 3-5 ปี
จากการปรับองค์กรและการวางกลยุทธ์การเติบโตครั้งใหม่ โดยมีเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำในตลาดสีโดยรวมของประเทศไทย ให้ได้ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในอันดับ 2 ในตลาดสีโดยรวม
พร้อมวางเป้าหมาย 3-5 ปีจะมีส่วนแบ่ง การตลาดในตลาดสีทาบ้านและอาคารอยู่ในอันดับที่ 2 ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 15% จากปัจจุบันอยู่อันดับที่ 4 ในตลาดทาบ้านและอาคาร ด้วยส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 7% คาดว่าในสิ้นปี 2566 จะมีส่วนแบ่งการตลาด 9-10%
โดยภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จะต้องสร้าง ยอดขายรวมไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท เพื่อก้าวสู่ผู้นำในตลาดสีโดยรวมของประเทศไทย
ดันยอดนิวไฮรอบ 56 ปี
จากการปรับกลยุทธ์และโครงการสร้างองค์กรใหม่ ส่งผลทำให้ยอดขายรวมของบริษัทในปี 2565 เติบโต 30% หรือ ใกล้เคียง 10,000 ล้านบาท! สูงสุดในรอบ 56 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งองค์กร โดยเป็นการเติบโตในทุกช่องทาง ทั้งร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ และช่องทางออนไลน์ ส่วนในปี 2566 คาดการว่าสร้างยอดขายรวมเติบโต 25%
สำหรับในตลาดโลก "นิปปอนเพนต์" รั้งแบรนด์อันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย และเป็นแบรนด์อันดับ 4 ในตลาดโลกที่ผ่านมา บริษัทได้มุ่งขยายช่องทาง การขยายใหม่ โดยจะเพิ่มช่องทางออนไลน์ และอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีการเติบโตแรงในช่วง โควิด ทำให้ในปัจจุบันช่องทางจำหน่ายสินค้าหลัก จะมาจากช่องทางค้าปลีก แบบดั้งเดิม ประมาณ 50% รองลงมา ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ 35% ที่เหลือเป็นช่องทางออนไลน์
"ช่องทางค้าปลีกแบบดั้งเดิมเป็น ช่องทางที่มีขนาดใหญ่สุด แต่เป็นช่องทางที่มีการขยายตัวในระดับน้อยเมื่อเทียบกับช่องทางอื่น ทำให้บริษัทได้เร่งปรับกลยุทธ์ไปขยายช่องทางอื่น ที่มีการเติบโตและมาแรง โดยเฉพาะในช่องทางออนไลน์"
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดจะเป็นเรื่องต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2564 และสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง มีผลกระทบต่อราคาสินค้าที่ต้องปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 6-8% ในปีก่อน
ขณะเดียวกัน ในปีนี้จะต้องประเมินราคา วัตถุดิบว่าจะปรับเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพื่อสามารถประเมินราคาสินค้าได้อีกครั้ง โดยในปัจจุบันค่าเงินบาทได้อ่อนค่าลงอีกครั้งแล้ว จึงยังไม่สามารถคาดการณ์ราคาสินค้าในปีนี้ได้
กรุงเทพธุรกิจ
มหันตภัยโควิดเป็นปัจจัยเร่ง! ให้องค์กรทั่วโลกต้องปรับกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว เช่นเดียวกับ "นิปปอนเพนต์" ปรับกลยุทธ์และโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ รองรับการเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
วัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสี "นิปปอนเพนต์" กล่าวว่า กิจกรรมทางการตลาดที่กลับมาในวิถีปกติ มากขึ้น ทั้งการเปิดประเทศแบบเต็มรูปแบบ ส่งผลต่อบรรยากาศโดยรวมเป็นไปใน ทิศทางที่ดี ประการสำคัญธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการขยายโครงการใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะอาคารสูง จึงส่งผลดีต่อการกระตุ้นตลาดโดยรวมขยายตัวต่อเนื่อง
โดยภาพรวมตลาดสีในประเทศไทย มีมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านบาท มีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งตลาดสี ดังกล่าวแบ่งเป็นตลาดสีทาบ้านและ อาคารที่มีขนาดใหญ่สุด มีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท คาดว่าจะมีการเติบโตประมาณ 10% ขณะที่ปี 2565 ภาพรวมตลาดสีทาบ้านและอาคาร มูลค่าประมาณ 27,000 ล้านบาท เติบโต 6%
"ตลาดสีในประเทศไทย เป็นตลาดที่มีรายใหญ่ และมีรายใหม่เข้ามาเรื่อยๆ มีทั้งแบรนด์ที่อยู่ได้ และอยู่ไม่ได้ เป็นตลาดเรดโอเชียน แข่งขันรุนแรง โดยตลาดจะแข่งขันกันด้วยนวัตกรรม และการให้บริการ แก่ลูกค้า"
ทั้งนี้ "นิปปอนเพนต์" ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยครบรอบ 56 ปี ได้มีการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ในช่วงโควิด เพื่อรองรับการเติบโตขององค์กรใน ระยะยาว ผ่านกลยุทธ์ "3C" ประกอบด้วย "Customer Centric" ยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก "Customized Solution" การนำเสนอโซลูชั่นที่เหมาะสมและตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า และ "Concreate Innovation" การคิดค้นและวิจัยพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอนวัตกรรมสีแก่ลูกค้า ตลอดจนการมุ่งยกระดับ เสริมทักษะของพนักงานในองค์กรอย่างไม่หยุดนิ่ง
ปัจจุบัน นิปปอนเพนต์ มีสีที่ครอบคลุมในทุกความต้องการ และสามารถสร้าง สีนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและปลอดภัยต่อลูกค้า รวมถึงได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนมาตรฐานการผลิตสินค้าในโรงงาน เพื่อรองรับ การก้าวสู่การจัดทำคาร์บอนฟรุตพริ้นท์ ตามเทรนด์ในตลาด
ผงาดผู้นำตลาดสีใน 3-5 ปี
จากการปรับองค์กรและการวางกลยุทธ์การเติบโตครั้งใหม่ โดยมีเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำในตลาดสีโดยรวมของประเทศไทย ให้ได้ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในอันดับ 2 ในตลาดสีโดยรวม
พร้อมวางเป้าหมาย 3-5 ปีจะมีส่วนแบ่ง การตลาดในตลาดสีทาบ้านและอาคารอยู่ในอันดับที่ 2 ด้วยส่วนแบ่งการตลาดที่ 15% จากปัจจุบันอยู่อันดับที่ 4 ในตลาดทาบ้านและอาคาร ด้วยส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 7% คาดว่าในสิ้นปี 2566 จะมีส่วนแบ่งการตลาด 9-10%
โดยภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จะต้องสร้าง ยอดขายรวมไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท เพื่อก้าวสู่ผู้นำในตลาดสีโดยรวมของประเทศไทย
ดันยอดนิวไฮรอบ 56 ปี
จากการปรับกลยุทธ์และโครงการสร้างองค์กรใหม่ ส่งผลทำให้ยอดขายรวมของบริษัทในปี 2565 เติบโต 30% หรือ ใกล้เคียง 10,000 ล้านบาท! สูงสุดในรอบ 56 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งองค์กร โดยเป็นการเติบโตในทุกช่องทาง ทั้งร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ และช่องทางออนไลน์ ส่วนในปี 2566 คาดการว่าสร้างยอดขายรวมเติบโต 25%
สำหรับในตลาดโลก "นิปปอนเพนต์" รั้งแบรนด์อันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย และเป็นแบรนด์อันดับ 4 ในตลาดโลกที่ผ่านมา บริษัทได้มุ่งขยายช่องทาง การขยายใหม่ โดยจะเพิ่มช่องทางออนไลน์ และอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีการเติบโตแรงในช่วง โควิด ทำให้ในปัจจุบันช่องทางจำหน่ายสินค้าหลัก จะมาจากช่องทางค้าปลีก แบบดั้งเดิม ประมาณ 50% รองลงมา ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ 35% ที่เหลือเป็นช่องทางออนไลน์
"ช่องทางค้าปลีกแบบดั้งเดิมเป็น ช่องทางที่มีขนาดใหญ่สุด แต่เป็นช่องทางที่มีการขยายตัวในระดับน้อยเมื่อเทียบกับช่องทางอื่น ทำให้บริษัทได้เร่งปรับกลยุทธ์ไปขยายช่องทางอื่น ที่มีการเติบโตและมาแรง โดยเฉพาะในช่องทางออนไลน์"
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดจะเป็นเรื่องต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2564 และสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง มีผลกระทบต่อราคาสินค้าที่ต้องปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 6-8% ในปีก่อน
ขณะเดียวกัน ในปีนี้จะต้องประเมินราคา วัตถุดิบว่าจะปรับเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพื่อสามารถประเมินราคาสินค้าได้อีกครั้ง โดยในปัจจุบันค่าเงินบาทได้อ่อนค่าลงอีกครั้งแล้ว จึงยังไม่สามารถคาดการณ์ราคาสินค้าในปีนี้ได้
ข่าววัสดุก่อสร้าง-เฟอร์นิเจอร์ อื่นๆ