LALIN เปิดแนวราบ3โครงการ หนุนรายได้ปีนี้โต7.2พันล้าน
วันที่ : 9 มิถุนายน 2565
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เผยว่า อุปทานการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่จะเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยบ้านแนวราบยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ซื้อบ้านอย่างต่อเนื่อง
LALIN เปิดตัว 3 โครงการแนวราบ มูลค่ารวม 2,200 ล้านบาท รับตลาดฟื้นตัว หนุนการรับรู้รายได้ในปีนี้โต 7,200 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคพร้อมรับเทรนด์ที่เปลี่ยนไปอยู่เสมอ เพื่อสอดรับกับพฤติกรรมในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนั้นจึงมั่นใจและพร้อมเดินหน้าพัฒนาโครงการบ้านป้อนสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้ตามเป้าหมาย 10-12 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 7,000–8,000 ล้านบาท
โดยล่าสุดบริษัทได้เปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการวม 2,220 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการบ้านเดี่ยวแลนซีโอ คริป 2 ปิ่นเกล้า-พระราม 5 จำนวน 66 ยูนิต ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 13 ไร่ มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท ในระดับราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 4-7 ล้านบาท 2.โครงการบ้านเดี่ยวแลนซีโอ คริป 2 รัตนาธิเบศร์ ท่าอิฐ จำนวน 68 ยูนิต ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 14 ไร่ มูลค่าโครงการ 420 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ฟังก์ชันครบในสไตล์ ในระดับราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 4.79-7 ล้านบาท
และ 3.โครงการลลิลทาวน์ ชัยพฤกษ์-ไทรน้อย รวม 488 ยูนิต ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 52 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ซึ่งจะประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์แลนซิโอ คริป ชัยพฤกษ์-ไทรน้อย จำนวน 114 ยูนิต ระดับราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 4-7 ล้านบาท และโครงการทาวน์โฮมแบรนด์ไลโอ ชัยพฤกษ์–ไทรน้อย รวม 344 ยูนิต ระดับราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านบาท
“จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายลงในปัจจุบัน ส่งผลให้ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทั้งตลาดบ้านแนวราบและอาคารชุด สอดคล้องกับที่ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้รายงานล่าสุดว่า อุปทานการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่จะเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยบ้านแนวราบยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ซื้อบ้านอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากในปี 2564 มีการชะลอการเปิดโครงการและเลื่อนมาเปิดในปี 2565” นายชูรัชฏ์ กล่าว
นายชูรัชฏ์ กล่าวอีกว่า บริษัทจะเดินหน้านำเสนอโครงการใหม่สู่มือผู้บริโภคตลอดปี 2565 ในทำเลคุณภาพทั่วทุกพื้นที่ของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้พัฒนาบ้านในทุกระดับราคาของกลุ่ม real demand ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยสูงสุดในปัจจุบัน และพร้อมจะพัฒนาแนวคิด การออกแบบและฟังก์ชัน ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในแต่ละช่วงอย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มมูลค่าโครงการในอนาคต ซึ่งจากแนวคิดการดำเนินธุรกิจดังกล่าว จะส่งผลให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ที่ 7,200 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 10% จากปีก่อน ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคพร้อมรับเทรนด์ที่เปลี่ยนไปอยู่เสมอ เพื่อสอดรับกับพฤติกรรมในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังนั้นจึงมั่นใจและพร้อมเดินหน้าพัฒนาโครงการบ้านป้อนสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้ตามเป้าหมาย 10-12 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 7,000–8,000 ล้านบาท
โดยล่าสุดบริษัทได้เปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการวม 2,220 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการบ้านเดี่ยวแลนซีโอ คริป 2 ปิ่นเกล้า-พระราม 5 จำนวน 66 ยูนิต ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 13 ไร่ มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท ในระดับราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 4-7 ล้านบาท 2.โครงการบ้านเดี่ยวแลนซีโอ คริป 2 รัตนาธิเบศร์ ท่าอิฐ จำนวน 68 ยูนิต ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 14 ไร่ มูลค่าโครงการ 420 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ฟังก์ชันครบในสไตล์ ในระดับราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 4.79-7 ล้านบาท
และ 3.โครงการลลิลทาวน์ ชัยพฤกษ์-ไทรน้อย รวม 488 ยูนิต ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 52 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ซึ่งจะประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์แลนซิโอ คริป ชัยพฤกษ์-ไทรน้อย จำนวน 114 ยูนิต ระดับราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 4-7 ล้านบาท และโครงการทาวน์โฮมแบรนด์ไลโอ ชัยพฤกษ์–ไทรน้อย รวม 344 ยูนิต ระดับราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านบาท
“จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายลงในปัจจุบัน ส่งผลให้ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทั้งตลาดบ้านแนวราบและอาคารชุด สอดคล้องกับที่ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้รายงานล่าสุดว่า อุปทานการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่จะเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยบ้านแนวราบยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ซื้อบ้านอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากในปี 2564 มีการชะลอการเปิดโครงการและเลื่อนมาเปิดในปี 2565” นายชูรัชฏ์ กล่าว
นายชูรัชฏ์ กล่าวอีกว่า บริษัทจะเดินหน้านำเสนอโครงการใหม่สู่มือผู้บริโภคตลอดปี 2565 ในทำเลคุณภาพทั่วทุกพื้นที่ของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้พัฒนาบ้านในทุกระดับราคาของกลุ่ม real demand ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยสูงสุดในปัจจุบัน และพร้อมจะพัฒนาแนวคิด การออกแบบและฟังก์ชัน ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในแต่ละช่วงอย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มมูลค่าโครงการในอนาคต ซึ่งจากแนวคิดการดำเนินธุรกิจดังกล่าว จะส่งผลให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ที่ 7,200 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 10% จากปีก่อน ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ