ศูนย์วิจัยกสิกรฯ หั่นจีดีพีเหลือ2.5%รัสเซีย-ยูเครนดันราคาน้ำมัน-อาหารพุ่ง
Loading

ศูนย์วิจัยกสิกรฯ หั่นจีดีพีเหลือ2.5%รัสเซีย-ยูเครนดันราคาน้ำมัน-อาหารพุ่ง

วันที่ : 28 มีนาคม 2565
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ยังคงอยากจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม คือ 0.50% ไว้ต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
          น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่าภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินผลกระทบแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีฐาน ที่การปะทะสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จำกัดอยู่ในบางพื้นที่ของประเทศยูเครน แต่ข้อตกลงร่วมกันคงยังไม่เกิดขึ้นในปีนี้ และมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตกและสหรัฐฯ ต่อรัสเซียจะคงอยู่ไปตลอดทั้งปีนี้นั้น คาดว่าจะทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบมีค่าเฉลี่ยทั้งปีที่ 105 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และจีดีพีขยายตัวที่ร้อยละ 2.5 ส่วนในกรณีดีนั้น คาดการณ์ตัวเลขจีดีพีไว้ที่ร้อยละ 2.9 ซึ่งเกิดขึ้นบนสมมติฐานที่รัสเซีย-ยูเครนหาทางออกร่วมกันได้เร็วกว่าที่กำหนด หรือภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ อันทำให้ราคาน้ำมันดิบอาจย่อตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง และทำให้ค่าเฉลี่ยน้ำมันทั้งปี 2565 อยู่ที่ 90 ดอลลาร์

          นอกจากนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นข้างต้นจะส่งผ่านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก โดยมองว่ามีโอกาสเร่งตัวสูงขึ้นแตะร้อยละ 4.5 ในกรณีฐาน ท่ามกลางการที่ภาครัฐมีมาตรการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร ไปจนถึงสิ้นเดือน เม.ย.65 ส่งผลให้ในบางช่วงของปีหลังจากนั้นราคาน้ำมันดีเซลอาจจะขยับขึ้นเกิน 30 บาทต่อลิตรหากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ความเสี่ยงเงินเฟ้อดังกล่าวทำให้มีโอกาสที่เฟดจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่ส่งสัญญาณสู่ระดับร้อยละ 1.75-2.00 ณ สิ้นปี 2565 รวมถึงเพิ่มแรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเช่นกัน

          สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยนั้น มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงอยากจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม คือ 0.50% ไว้ต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่แรงกดดันด้านอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศโดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟด ฟันด์ เรตถี่ขึ้นจะเป็นแรงกดดันมากขึ้นเมื่อส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐฯ กว้างขึ้น จนอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางเงินทุนไหลเข้าออก และค่าเงินบาท จึงมองว่า ธปท.คงจะมีการติดตามผลกระทบอย่างใกล้ชิดในการประชุมแต่ละรอบ และจุดโฟกัสน่าจะอยู่ในช่วงครึ่งปีหลังที่ช่องว่างระหว่างดอกเบี้ยไทย-สหรัฐฯ เริ่มกว้างขึ้น

          ส่วนที่มีการเสนอให้ภาครัฐกู้เงินเพิ่มขึ้นเพื่อพยุงเศรษฐกิจ นั้น มองว่าหากจำเป็นก็สามารถทำได้ แต่จุดที่สำคัญ คือแนวทางที่จะนำเงินมาใช้ ซึ่งควรนำมาใช้ในแนวทางที่จะทำให้ภาคธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบมาต่อเนื่องสามารถสร้างรายได้ได้ในระยะยาว มิฉะนั้นหากกลุ่มนี้ฟื้นตัวไม่ได้เศรษฐกิจจะเดินหน้าไปได้ยาก เงินกู้ดังกล่าวจะย้อนกลับมาเป็นปัญหาด้านเสถียรภาพทางการคลังต่อไปได้

          ส่วนผลกระทบต่อธุรกิจไทย น.ส.เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ มองว่า ปัจจัยรัสเซีย-ยูเครน กระทบต้นทุนการผลิตภาคอุตสาหกรรมคิดเป็นมูลค่าราว 8 หมื่นล้านบาท โดยผลกระทบส่วนใหญ่ตกอยู่กับภาคธุรกิจ ซึ่งจะถูกกระทบแตกต่างกันตามสัดส่วนการใช้วัตถุดิบและความสามารถในการปรับตัว ขณะที่ผลกระทบบางส่วนตกอยู่กับผู้บริโภค โดยคาดการณ์ผลกระทบต่อภาคการผลิตจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นคิดเป็นเม็ดเงินไม่น้อยกว่า 80,000 ล้านบาท

          ขณะเดียวกัน การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบผ่านการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียและยุโรป ซึ่งแม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยรวมในปี 2565 อาจแตะ 4 ล้านคน แต่การใช้จ่ายจะลดลงราว 5 หมื่นล้านบาทจากกรณีที่ไม่มีสงคราม นอกจากนี้ ภาคการบริการอื่นๆ ได้รับผลกระทบ เช่นกัน ไม่เพียงแต่ต้นทุนที่ขยับขึ้น ค่าครองชีพที่สูงขึ้นของผู้บริโภคยังวนกลับมากดดันยอดขายภาคธุรกิจอีกด้วย ทำให้ในภาพรวมแล้วประเมินตัวเลขการขยายตัวของธุรกิจในกลุ่มรถยนต์อิเล็กทรอนิกส์ ค้าปลีก และร้านอาหารน้อยลงจากรณีไม่มีสงคราม
ข่าวนโยบายการเงิน-การคลัง อื่นๆ