เงินดิจิทัลเฮ! ไฟเขียวเว้นภาษีแวต
วันที่ : 9 มีนาคม 2565
การยกเว้นภาษีดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งที่จะดึงสตาร์ตอัพไทยที่ไปลงทุนในต่างชาติให้กลับมาลงทุนในประเทศไทย และดึงสตาร์ตอัพต่างชาติมาลงทุนในไทย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวมากขึ้น
รัฐยกเว้นภาษีให้สตาร์ตอัพ หวังดูดเงินลงทุนกลับไทย
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) และร่างกฎกระทรวง โดยยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) สำหรับการโอนสินทรัพย์ดิจิทัล (คริปโตเคอร์เรนซี) หรือโทเคนดิจิทัลในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและการโอนสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือซีบีดีซี ตามโครงการพัฒนาและทดสอบการใช้งานสกุลเงินดิจิทัลของประชาชน ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.65 จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.66 เพื่อบรรเทาภาระภาษีให้กับประชาชนในการซื้อขายคริปโต และให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีด้วย
รวมทั้ง ยังยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโต หรือโทเคนดิจิทัลเฉพาะ ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุนเป็นจำนวนเท่ากับผลขาดทุนจากการโอนคริปโต หรือโทเคนดิจิทัลในปีภาษีเดียวกัน มีผลย้อนตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.2561 เป็นต้นไป โดยคำนวณจากกำไรแล้วลบด้วยขาดทุนเหลือจำนวนเงินเท่าใดจึงนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งจะทำให้เงินภาษีที่จะต้องจ่ายลดลง
ทั้งนี้ ปัจจุบันการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มีปริมาณและความถี่มาก ซึ่งได้มีพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉ.19) พ.ศ.2561 กำหนดให้เงินส่วนแบ่งของกำไรหรือผลประโยชน์จากการถือโทเคนดิจิทัลและผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโตหรือโทเคนดิจิทัลเฉพาะส่วนที่ตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุนให้เป็นเงินได้พึงประเมินต้องเสียภาษีเงินได้และให้หักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่ายของเงินได้พึงประเมินในอัตรา 15% และการโอนคริปโตหรือโทเคนดิจิทัลจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบมาตรการเพื่อส่งเสริมการระดมทุนในวิสาหกิจเริ่มต้น หรือสตาร์ตอัพด้วยการยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ผู้ลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ สำหรับกำไรจากการขายหุ้นในสตาร์ตอัพ ซึ่งเป็นการลงทุนผ่านเวนเจอร์แคปิตอล โดยผู้ลงทุนจะต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่า 24 เดือนก่อนการขายหุ้นเป็นเวลา 10 ปี นับจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาจนถึงวันที่ 30 มิ.ย.2575 โดยสตาร์ตอัพที่จะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีดังกล่าวจะต้องลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และผ่านการรับรองการเป็นสตาร์ตอัพจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) เป็นต้น
"การยกเว้นภาษีดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งที่จะดึงสตาร์ตอัพไทยที่ไปลงทุนในต่างชาติให้กลับมาลงทุนในประเทศไทย และดึงสตาร์ตอัพต่างชาติมาลงทุนในไทย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวมากขึ้น ซึ่งสภาดิจิทัลได้คาดการณ์ว่า มาตรการยกเว้นภาษีนั้น จะทำให้ภายในปี 2569 จะมีเงินทุนในสตาร์ตอัพไทยเพิ่มขึ้น 320,000 ล้านบาท ก่อให้เกิดจ้างงานทั้งทางตรงทางอ้อม 400,000 ตำแหน่ง ก่อให้เกิดสตาร์ตอัพรายใหม่ 10,000 ราย สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวม 790,000 ล้านบาท"
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) และร่างกฎกระทรวง โดยยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) สำหรับการโอนสินทรัพย์ดิจิทัล (คริปโตเคอร์เรนซี) หรือโทเคนดิจิทัลในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและการโอนสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือซีบีดีซี ตามโครงการพัฒนาและทดสอบการใช้งานสกุลเงินดิจิทัลของประชาชน ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.65 จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.66 เพื่อบรรเทาภาระภาษีให้กับประชาชนในการซื้อขายคริปโต และให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีด้วย
รวมทั้ง ยังยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโต หรือโทเคนดิจิทัลเฉพาะ ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุนเป็นจำนวนเท่ากับผลขาดทุนจากการโอนคริปโต หรือโทเคนดิจิทัลในปีภาษีเดียวกัน มีผลย้อนตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.2561 เป็นต้นไป โดยคำนวณจากกำไรแล้วลบด้วยขาดทุนเหลือจำนวนเงินเท่าใดจึงนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งจะทำให้เงินภาษีที่จะต้องจ่ายลดลง
ทั้งนี้ ปัจจุบันการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มีปริมาณและความถี่มาก ซึ่งได้มีพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉ.19) พ.ศ.2561 กำหนดให้เงินส่วนแบ่งของกำไรหรือผลประโยชน์จากการถือโทเคนดิจิทัลและผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโตหรือโทเคนดิจิทัลเฉพาะส่วนที่ตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุนให้เป็นเงินได้พึงประเมินต้องเสียภาษีเงินได้และให้หักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่ายของเงินได้พึงประเมินในอัตรา 15% และการโอนคริปโตหรือโทเคนดิจิทัลจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบมาตรการเพื่อส่งเสริมการระดมทุนในวิสาหกิจเริ่มต้น หรือสตาร์ตอัพด้วยการยกเว้นการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ผู้ลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ สำหรับกำไรจากการขายหุ้นในสตาร์ตอัพ ซึ่งเป็นการลงทุนผ่านเวนเจอร์แคปิตอล โดยผู้ลงทุนจะต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่า 24 เดือนก่อนการขายหุ้นเป็นเวลา 10 ปี นับจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาจนถึงวันที่ 30 มิ.ย.2575 โดยสตาร์ตอัพที่จะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีดังกล่าวจะต้องลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และผ่านการรับรองการเป็นสตาร์ตอัพจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) เป็นต้น
"การยกเว้นภาษีดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งที่จะดึงสตาร์ตอัพไทยที่ไปลงทุนในต่างชาติให้กลับมาลงทุนในประเทศไทย และดึงสตาร์ตอัพต่างชาติมาลงทุนในไทย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวมากขึ้น ซึ่งสภาดิจิทัลได้คาดการณ์ว่า มาตรการยกเว้นภาษีนั้น จะทำให้ภายในปี 2569 จะมีเงินทุนในสตาร์ตอัพไทยเพิ่มขึ้น 320,000 ล้านบาท ก่อให้เกิดจ้างงานทั้งทางตรงทางอ้อม 400,000 ตำแหน่ง ก่อให้เกิดสตาร์ตอัพรายใหม่ 10,000 ราย สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวม 790,000 ล้านบาท"
ข่าวนโยบายการเงิน-การคลัง อื่นๆ