นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยถึงผลสำรวจภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยของกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ว่า แนวโน้มยอดขายที่อยู่อาศัยในครึ่งหลังของปี 64 น่าจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก โดยขายได้ 32,217 หน่วยงาน มูลค่า 147,965 ล้านบาท แต่ยอดยังคงติดลบอยู่ 6.8% และมีมูลค่าลดลง 10.3% ส่งให้ทั้งปี 64 มียอดขายทั้งสิ้น 61,993 หน่วย ติดลบ 7.9% มูลค่ารวม 292,616 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 31,999 หน่วย มูลค่า 173,652 ล้านบาท อาคารชุด 29,994 หน่วย มูลค่า 118,965 ล้านบาท

          ทั้งนี้ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยในปี 64 ยังคงเหลือค้างสต๊อกปริมาณสูง 171,283 หน่วย มูลค่ารวม 836,530 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรรประมาณ 99,744 หน่วย มูลค่า 516,072 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 71,539 หน่วย มูลค่า 320,458 ล้านบาท

          "ช่วงครึ่งปีแรกปี 64 ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยชะลอตัวมาก โดยเฉพาะในแง่ของหน่วยเปิดขายใหม่ และพบว่าบ้านจัดสรร ทาวน์เฮาส์มียอดค้างสต๊อกเพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องระมัดระวังในการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่แนวโน้มปี 65 น่าจะดีขึ้น เรื่อย ๆ มียอดเป็นบวกได้ เห็นจากการขอใบอนุญาตก่อสร้างอาคารและแผนเปิดตัวโครงการใหม่ที่จะกลับมาเป็นบวก แต่ยังคงไม่กลับไปดีเหมือนปี 61 และอาจต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2-3 ปีถึงกลับไประดับนั้น"

          นายวิชัย กล่าวว่า คาดการณ์ภาพรวมที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลปี 65 จะมีหน่วยขายได้ใหม่ 75,843 หน่วย มูลค่ารวม  341,472 ล้านบาท มีมูลค่าเพิ่มจากปี 64 ประมาณ 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายโครงการบ้านจัดสรร 35,070 หน่วย มูลค่า 180,421 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 40,773  หน่วย มูลค่า 161,051 ล้านบาท เทียบช่วงครึ่งแรกปี 65 มียอดขายที่อยู่อาศัยดีขึ้นกว่าครึ่งแรกปี 64 ประมาณ 17.4% และจะขยายตัวได้อีก 26.9% ในครึ่งหลังของปี 65

          ขณะที่มูลค่ายอดขายในครึ่งแรกของปี 65 จะเพิ่มขึ้น 11%  และขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 22.3% ช่วงครึ่งหลังปี 65 โดยเป็นผลจากการคาดการณ์สถานการณ์ที่ประเทศไทยสามารถกระจายวัคซีนได้ทั่วถึง ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และเศรษฐกิจไทยปี 65 ขยายตัว 4%  ขณะที่ยอดสต๊อกที่อยู่อาศัยปี 65 จะลดลงเหลือ 161,120 หน่วย มูลค่า 771,953 ล้านบาท